วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2567

เที่ยวรถไฟญี่ปุ่น KIHA 183 เที่ยวสนุกสนานเมืองแปดริ้ว "ฉะเชิงเทรา"

เที่ยวรถไฟญี่ปุ่น KIHA 183
เที่ยวสนุกสนานเมืองแปดริ้ว "ฉะเชิงเทรา"





        รถไฟ "KIHA 183" เป็นรถดีเซลราง (Diesel Multiple Unit : DMU) จากเกาะฮอกไกโดที่เคยให้บริการอยู่กับ Hokkaido Railway Company หรือ JR Hokkaido ก่อนที่จะยุติการให้บริการในญี่ปุ่น ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องมีหัวรถจักรลากจูง หัวและท้ายขบวนเป็นรถประเภทที่มีห้องขับ ขบวนรถไฟแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ด้านหน้าสุดเป็นห้องขับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่ารถไฟทั่วไปและเป็นเอกลักษณ์ของรถดีเซลรางของญี่ปุ่น จนทำให้หน้าตาดูเหมือนหุ่นยนต์ ถัดจากห้องขับจะเป็นส่วนของห้องเครื่อง และห้องโดยสารแอร์เย็นฉ่ำ มีที่นั่งเบาะกำมะหยี่แบบปรับเอนได้จำนวน 40 ที่นั่ง ตามด้วยรถ KIHA 182ไม่มีห้องขับเป็นห้องโดยสารยาวตลอดแนว ที่นั่งเป็นเบาะกำมะหยี่สีแดงเลือดหมูปรับเอนได้จำนวน 68 ที่นั่ง มีห้องน้ำระบบปิด จัดขบวนรถแบบ 4 ตู้ จะได้ที่นั่ง 216 ที่/ขบวน สามารถใช้ความเร็วสูงสุดในการเดินรถได้ที่ 100 กม./ชม. เท่ากับดีเซลราง THN ของประเทศไทย

         ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้รับบริจาครถไฟ KIHA 183 และ KIHA 182 จากบริษัท JR Hokkaido จำนวน 17 คัน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และได้ดำเนินการฟื้นฟูสภาพและดัดแปลงรถไฟ KIHA พร้อมเสริมแต่งสภาพระบบเครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ ระบบห้องสุขาที่เป็นแบบระบบปิดมีถังเก็บ รวมถึงการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อที่นั่งภายในพร้อมผ้าม่าน และที่สำคัญคือความสวยงามภายในห้องโดยสาร นั่งแล้วรู้สึกสบาย เบาะนั่งเอนได้ในระดับเหมาะสม สีสันของตัวรถทางการรถไฟฯ เลือกใช้เฉดสีเดิมทั้งหมด เพื่อคงความเป็นต้นฉบับและรักษาเอกลักษณ์ของ KIHA 183 มีส่วนเดียวที่เพิ่มเข้ามา คือสัญลักษณ์ SRT ที่อยู่ด้านข้างรถใกล้กับเลขประจำตู้ เพื่อนำมาใช้สำหรับให้บริการในรูปแบบของขบวนรถนำเที่ยว






                วันนี้ ฯพณฯ เปาโล ดีโอนีซี เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย พร้อมภรรยา ให้เกียรติร่วมเดินทางท่องเที่ยว รถไฟ KIHA 183 ขบวนพิเศษนำเที่ยวจังหวัดฉะเชิงเทรา ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แบบส่วนตัว อย่างไม่เป็นทางการ เดินทางท่องเที่ยวพร้อมนักท่องเที่ยวทั่วไปกว่า 200 คน สู่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยท่านได้ร่วมทำกิจกรรม ทำทุกอย่างเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป ร่วมเดินทางกับนักท่องเที่ยวด้วยอัธยาศัยไมตรี พูดคุยอย่างเป็นกันเองโดยไม่ถือตัว






          การเดินทางท่องเที่ยวสู่จังหวัดฉะเชิงเทรา ระหว่างนั่งรถไฟ KIHA 183 มัคคุเทศก์ก็จะบรรยายถึงการเดินทางของขบวนรถไฟ KIHA 183 และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวฟัง ใช้เวลาเดินทางไม่นานนักก็ถึงจุดชมวิวบริเวณกลางสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นจุดชมทิวทัศน์ แลนด์มาร์กใหม่ของจังหวัดฉะเชิงเทรา  รถไฟ KIHA 183 ก็จอดให้นักท่องเที่ยวลงไปกลางสะพาน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สนุกสนานและตื่นเต้นกับการถ่ายภาพกับรถไฟ KIHA 183 กลางสะพาน ชมทัศนียภาพแม่น้ำบางปะกง ท่ามกลางสายลมและแสงแดด หลังเก็บภาพความประทับใจเรียบร้อย ขบวนรถก็ออกเดินทางต่อถึงสถานีชุมทางฉะเชิงเทรา จุดหมายปลายทาง





           จากนั้นนักท่องเที่ยวก็เดินทางต่อโดยรถบัสปรับอากาศไปยัง "วัดโสธรวรารามวรวิหาร" อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา เริ่มจากคณะนักท่องเที่ยวร่วมถวายสังฆทานภายในพระวิหาร พร้อมขอพรจากพระสงฆ์ ตัวแทน "พระราชภาวนาพิธาน" (ศิริวัฒน์ สิริวฑฺฒโน)  เจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร และเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ในการนี้ท่านได้ให้ศีลให้พร พร้อมมอบวัตถุมงคล "เหรียญหลวงพ่อโสธร" เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต จากนั้นก็กราบสักการะ "หลวงพ่อโสธร" พระคู่บ้านคู่เมืองฉะเชิงเทรา พระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.98 เมตร ฝีมือช่างล้านช้าง ในพระอุโบสถที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามก่อสร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง โดยเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสว่า  “ตั้งใจมานมัสการหลวงพ่อพุทธโสธรนานแล้ว  ทำไมสร้างพระอุโบสถแบบนี้ ไม่สมเกียรติหลวงพ่อพุทธโสธร ให้ปรับปรุงแก้ไขเสียใหม่” ทางวัดจึงได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามพระราชดำริ พระอุโบสถมีรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นอาคารทรงไทยประยุกต์ ขนาดกว้าง 44.50 เมตร ยาว 123.50 เมตร เป็นอาคารหลังคาทรงเครื่องยอด ชนิดยอดทรงมณฑปแบบไทย ต่อเชื่อมด้วยวิหารทั้งด้านหน้าและด้านหลัง  ด้านข้างต่อเชื่อมด้วยอาคารรูปทรงอย่างเดียวกันกับพระวิหารเป็นอาคารมุขเด็จ เมื่อประกอบกันเข้าแล้วจะเป็นอาคารแบบจตุรมุขทรงปราสาท ภายในตกแต่งด้วยภาพทะเลสีทันดรและจักรวาล


 



               กราบสักการะหลวงพ่อโสธรแล้ว นักท่องเที่ยวก็เดินทางไปรับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านริเวอร์บาห์น ทานอาหารแสนอร่อย อาทิ ต้มยำกุ้ง ยำคะน้า ส้มตำปลาดุกฟู ยำปลากระพง และแกงยอดมะพร้าวอ่อน ท่ามกลางบรรยากาศริมแม่น้ำบางปะกง หลังอิ่มหนำสำราญก็เป็นพระยาน้อยชมตลาดที่ตลาดบ้านใหม่ ตลาดเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี เป็นชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน เมื่อเดินเข้าไปในตลาด ก็เหมือนนั่งไทม์แมชชีนย้อนกับไปในอดีต เพราะบรรยากาศภายในตลาดยังคงอนุรักษ์ความเก่าและความคลาสสิคของบ้านเรือนไม้ไว้เป็นอย่างดี ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าที่รวบรวมอาหารรสเลิศของแปดริ้ว ทั้งอาหารคาวหวาน อาหารพื้นบ้าน อย่างเช่น ร้านเตี๋ยวเรือชามต่อชามที่มีบรรยากาศคลาสสิค ร้านกาแฟแป๊ะเอยร้านกาแฟเก่าแก่  ร้านป้าหนูร้านอาหารขึ้นชื่อริมน้ำ ร้านกาแฟชื่อดัง  Red cat café  ที่ด้านหน้ามีตุ๊กตาแมวสีดำและแดงนั่งรอต้อนรับ เป็นร้านกาแฟเล็กๆ ตกแต่งน่ารัก มีบริการครบครัน และร้านขายของที่ระลึกที่ตั้งอยู่ริมน้ำ บรรยากาศสะดุดตามาก





           เลือกชิม ช้อป ซื้อของฝากและของที่ระลึกจนพอใจ  ก็เดินทางต่อไปยัง "วัดหัวสวน" ตำบลเสม็ดใต้ อำเภอบางคล้า เมื่อไปถึงนักท่องเที่ยวร่วมถวายสังฆทาน พร้อมขอพรจาก "หลวงพ่อพระครู​ภาวนา​จริยคุณ​" (ประยงค์)​ เจ้าอาวาสวัดหัวสวน และเจ้าคณะอำเภอบางคล้า​ ในการนี้ท่านได้ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ พร้อมมอบวัตถุมงคล "แบงค์มหาลาภ" เพื่อความเป็นสิริมงคล วัดหัวสวนแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2440 โดยมี "หลวงพ่อเหลือ" วัดสาวชะโงก (พระครูนันทธีราจารย์) เป็นผู้เริ่มสร้างโบสถ์ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2471 ต่อมาในช่วงที่จะต้องบูรณะซ่อมแซมโบสถ์ พระครูภาวนาจริยกุล เจ้าอาวาส เห็นว่าโบสถ์เก่ามีความทรุดโทรมมาก จึงมีแนวคิดสร้างอุโบสถหลังใหม่ให้มีอายุยืนยาวกว่าการสร้างแบบก่ออิฐถือปูนเดิมๆ โดยดำเนินการสร้างโบสถ์ทั้งหลังด้วยสแตนเลส ซึ่งท่านเป็นผู้ออกแบบและควบคุมดูแลการก่อสร้างเอง เริ่มสร้างเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 และเสร็จสิ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยว Unseen แห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งความงดงามของโบสถ์สแตนเลสนี้เมื่อต้องแสงอาทิตย์จะมีแสงสะท้อนสีเงินแวววาวเปล่งประกายสวยงามยิ่งนัก ภายในประดิษฐาน "พระพุทธมหาลาภ" พระประธานปางทรงเครื่องกษัตริย์ที่ประดับด้วยหินสีอัญมณีส่องเป็นประกายและยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสีสวยงาม ที่มีวิธีการสร้างภาพมาจากการพ่นแอร์บรัช ที่มีความแปลกตาอย่างมาก





             กราบสักการะหลวงพ่อเหลือ ชมโบสถ์สีเงินที่แปลกตาสวยงาม นักท่องเที่ยวก็เดินทางไปช้อปปิ้งที่ตลาดน้ำบางคล้า พร้อมกับลงเรือ ล่องเรือรอบเกาะลัด สัมผัสธรรมชาติและสถานที่สำคัญของสองฝั่งแม่น้ำบางปะกง



 


             ล่องเรือผ่าน "วัดโพธิ์บางคล้า"  อำเภอบางคล้า นักท่องเที่ยวต้องตื่นตาตื่นใจกับสัตว์สีดำตัวใหญ่ที่เกาะเป็นพรืดเต็มไปหมดบนต้นไม้ แต่สังเกตุดีๆ ถีงได้รู้ว่าเป็นนกมีหูหนูมีปีก หรือค้างคาวแม่ไก่นับแสนตัวที่อาศัยอยู่ภายในวัด และในวัดยังวิหารทรงจตุรมุกสมัยอยุธยาตอนปลาย ที่มีอายุเก่าแก่หลายร้อยปี





           ผ่าน "อุทยานพระพิฆเนศ" อำเภอคลองเขื่อน ที่มีองค์พระพิฆเนศเนื้อโลหะบรอนซ์นอก (สำริด) ที่ใหญ่ที่สุดในโลกประดิษฐาน ณ ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง นามว่า “พระพิฆเนศปางยืน องค์สำริด สำเร็จ สมปรารถนา" ที่ประกอบจากชิ้นส่วน 854 ชิ้น มีความสูงรวมแท่นฐาน 39 เมตร พระหัตถ์ทั้ง 4 นั้นถือดอกบัว, มะม่วง, กล้วย, อ้อย, ขนุน และที่พระบาทมีหนูกอดลูกมะพร้าว ซึ่งมีความหมายคือ ความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน





          และยังผ่าน "วัดพุทธพรหมยาน" อำเภอคลองเขื่อน เป็นวัดที่ "พระปลัดเอกลักษณ์ ปัญญาคโม" เจ้าอาวาสวัดพุทธพรหมยาน มีจิตศรัทธาอันแรงกล้า และเชื่อมั่นในปฏิปทาพระราชพรหมยาน หรือ “หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ” ท่านได้เดินทางมา ณ บริเวณที่เป็นที่ตั้งวัดแห่งนี้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว และท่านได้อธิษฐานจิตว่า หากมีวาสนาบารมีจะพัฒนาพื้นที่ดินแห่งนี้เป็นวัดให้สวยงาม ทุกอย่างถูกออกแบบด้วยโทนสีขาวมุกสะอาดตาแฝงไปด้วยธรรมะ นักท่องเที่ยวต้องประทับใจกับความสวยงามของวิหารแก้วอันวิจิตร ที่ประดับประดาด้วยกระจกแก้วเปล่งประกายระยิบระยับ, อุโบสถเรือทิพย์วิมานสีขาวมุก 2 ชั้น บนเรือเป็นที่ประดิษฐาน "พระวิสุทธิเทพ สมเด็จองค์ปฐม ปางพระนิพพาน" และ "พญายมราช" ที่นี่ยังมีศาลา 1 ไร่ เพื่อใช้ประกอบศาสนพิธี มีพระพุทธรูปนาคปรกและพระชำระหนี้สงฆ์ ที่นี่ย้งเป็นเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมอีกด้วย







         ผ่าน "นุสรณ์สถานพระสถูปเจดีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" บริเวณปากน้ำโจ้โล้ (คลองท่าลาด) หลังจากที่พระเจ้าตากสินตีฝ่าวงล้อมของพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยาได้ปะทะกับพม่าบริเวณปากน้ำโจ้โล้ พระองค์รบชนะพม่าซึ่งมีกำลังเหนือกว่า และได้พักทัพบริเวณนี้ พระองค์จึงสร้างพระเจดีย์นี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะในการสู้รบกับพม่า นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาสักการะนุสรณ์สถานพระสถูปเจดีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ หรือจะนั่งพักผ่อนชมภูมิทัศน์ริมแม่น้ำที่สวยงาม ซึ่งจะสามารถมองเห็นเกาะลัดอยู่ฝั่งตรงข้าม








        นั่งเรือชมทัศนียภาพตามลำน้ำพอสมควร นักท่องเที่ยวก็มาขึ้นเรือกันที่ "วัดปากน้ำโจโล้" อำเภอบางคล้า เพื่อชมความวิจิตรสวยงามของอุโบสถสีทองหนึ่งเดียวในประเทศไทย ที่งดงามตระการตา ทาสีทองทั้งหลังทั้งภายในและภายนอกตัวอุโบสถ  นักท่องเที่ยวสามารถลอดใต้ฐานพระประธานเพื่อความเป็นสิริมงคล ที่วัดนี้ยังมีเรือโบราณในสมัยสมเด็จพระจ้าตากสินให้ชมด้วย
        แล้วก็ถึงเวลาเดินทางไปที่สถานีรถไฟฉะเชิงเทรา เพื่อขึ้นรถไฟ  KIHA 183 เดินทางกลับสู่สถานีรถไฟหัวลำโพง กรุงเทพฯ ด้วยความสุขโดยสวัสดิภาพ
       ***ขอขอบคุณ ตำรวจภูธรภาค 2 และตำรวจ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ที่อำนวยความสะดวกด้านจราจรในระหว่งการเดินทางในจังหวัดฉะเชิงเทราในครั้งนี้
#การรถไฟแห่งประเทศไทย
#การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
#สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย
#บริษัท เมืองไทย ครีเอทีฟ แอนด์ ทัวร์




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งาน “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย Chiang Rai Flower and Art Festival 2024”

งาน “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย Chiang Rai Flower and  Art Festival 2024”  16 ธ.ค. 2567 ถึงวันที่ 5 ม.ค. 2568  ณ สวนไม้งามริมน้ำกก         ...