วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

“ซี – นุนิว” กระแสความปังเกินต้าน “เวรี่เกรท” ร่วมกับ “มันดีเวิร์ค” จัดรอบกาล่าพรีเมียร์ ฉายภาพยนตร์วาย แนวพีเรียดโรแมนติก สยองขวัญ “ดับแสงรวี-After Sundown”

“เวรี่เกรท” ร่วมกับ “มันดีเวิร์ค” จัดรอบกาล่าพรีเมียร์ ฉายภาพยนตร์วาย 

แนวพีเรียดโรแมนติก สยองขวัญ “ดับแสงรวี-After Sundown” 

“ซี – นุนิว” กระแสความปังเกินต้าน

             เปิดตัวสุดคึกคักสมกับกระแสความแรงของภาพยนตร์ ที่ดังเปรี้ยงขึ้นแท่นสู่อันดับ 1 ติดเทรนด์ทวิตเตอร์โลกชั่วพริบตา เพียงแค่ปล่อย #เพลงแสงรวี Ost. ภาพยนตร์“ดับแสงรวี” หรือแม้กระทั่งเพียงปล่อย #ตัวอย่างดับแสงรวี  Official Trailer เท่านั้น จากนวนิยายที่มีผู้อ่านมากกว่าหนึ่งล้านเล่ม ถ่ายทอดเรื่องราวอันเข้มข้นสู่ภาพยนตร์ได้ครบรส ดันให้ #ดับแสงรวีTheMovie หนังวายแนว โรแมนติค สยองขวัญ แรงจนฉุดไม่อยู่ ถูกพูดถึงในโลกออนไลน์จนส่งให้กระแสติดเทรนด์ทวิตเตอร์โลกตั้งแต่ยังไม่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่าง บริษัท เวรี่เกรท จำกัด ร่วมกับ บริษัท มันดีเวิร์ค จำกัด 2 บริษัทผู้สร้าง-ผลิตและส่งคอนเทนท์สู่ผู้บริโภคผ่านทุกแพลตฟอร์มครอบคลุมทุกมิติทั้งออนไลน์ทีวีดิจิทัลและภาพยนตร์ และ ธุรกิจการให้บริการทางด้านการโฆษณาอย่างเต็มรูปแบบ

          “เวรี่เกรท” ร่วมกับ “มันดีเวิร์ค” ร่วมกันจัดงานเปิดตัวภาพยนตร์วาย โรแมนติค สยองขวัญ จากฝีมือผู้กำกับ อ๊อด-บัณทิต ทองดี ที่ได้นักแสดงนำคู่จิ้นสุดฮอต อย่าง “นุนิว-ชวรินทร์" "ซี-พฤกษ์” จึงส่งให้กระแสหนังติดเทรนด์ทวิตเตอร์โลกอย่างง่ายดายด้วยนั่นเอง ณ ลานสยามพารากอน ฮอลล์ โรงภาพยนตร์พารากอน  พร้อมชมภาพยนตร์รอบกาล่า พรีเมียร์

           สำหรับไฮไลท์ของงาน มีโชว์การแสดงพิเศษจากนักแสดงของภาพยนตร์ “ดับแสงรวี-After Sundown” ที่ต่างตั้งใจซุ่มซ้อมเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ทำเอาบรรดาเซเลบริตี้ แขกผู้มีเกียรติ สื่อมวลชน รวมถึง ด้อมซนซน ซันไชน์ นานานุ ได้เพลิดเพลินสร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก นอกจากจะเรียกเสียงกรี๊ดลั่นสนั่นฮอลล์กันแล้ว แขกทุกคนที่ได้ชม “ดับแสงรวี-After Sundown” ในโรงภาพยนตร์สยามภาวลัย พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ต่างนั่งลุ้นระทึกในโรงหนังกันเป็นทิ่วแถว เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้มีครบทุกรสชาติ มีฉากดราม่า ให้ลุ้นระทึกกับความน่ากลัว ทำเอาสะพรึงเพราะความสยองขวัญแทบหยุดหายใจ ฉากหว๊านหวานฟินไม่ไหวกับความรักของคู่เอกอย่าง “ซี-นุนิว” ที่ทะลุออกมานอกจอ แถมยังได้ฟังเพลงเพราะๆ ซึ่งได้ “แอ้ม-อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์” โปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงมือดี แต่งขึ้นมาเพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะ ได้แก่  เพลงแสงรวี ร้องโดย ซี-นุนิว และเพลงดวงจันทร์ ร้องโดย กัน-ณภัทร แถมยังเป็นภาพยนตร์ที่มีองค์ประกอบของภาพ แสงสี สวยงาม และอื่นๆ ที่น่าประทับใจอีกมากมาย

      คุณธิดารัตน์ แลเพ็ชร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เวรี่เกรท จำกัด กล่าวว่า “เวรี่เกรท ตั้งใจผลิตหนังวายเรื่องนี้ขึ้นมาให้มีครบทุกรส  มีทั้งความสยองชวนขนลุก ความฟินกระจาย ดูแล้วสนุก จัดเต็มทุกองค์ประกอบ และอื่นๆ อีกมาก เพื่อให้หนังออกมามีคุณภาพที่สุด แน่นอนนอกจากจะตอบโจทย์กลุ่มคนชอบหนังวาย เพราะปัจจุบันนี้สังคมไทยเปิดกว้างมากแล้ว เรายังสร้างหนังขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบการดูหนัง ทั้งแฟนหนังในไทยและต่างประเทศ ถือเป็นก้าวที่สำคัญของเวรี่เกรทที่ได้ผลิตหนังวายจนกลายเป็นกระแสที่ดีขนาดนี้ นอกจากจะฉายในไทย หนังเรื่องนี้กำลังเข้าโรงฉายที่ประเทศลาว พร้อมกันในวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 นี้ และยังมีรอจ่อคิวเข้าฉาย  ทำเงินอีกหลายประเทศด้วยค่ะ หนังกระแสดีขนาดนี้ ต้องขอบคุณที่ได้พาร์ทเนอร์ที่ดี อย่างมันดีเวิร์ค ร่วมถึงผู้สนับสนุน ทุกท่าน ผู้กำกับ นักแสดง ทีมงานที่ดี รวมถึง ด้อมซนซน ซันไชน์ นานานุ ที่ส่งให้หนังเรื่องดับแสงรวีเกิดกระแสที่ดีติดเทรนด์อันดับ 1 ทวิตเตอร์โลกหลายต่อหลายครั้ง อยากเชิญชวนให้คนรักหนังทุกกลุ่มมาเปิดใจ มาดูหนังฝีมือคนไทย ขอฝากหนังเรื่องดับแสงรวีด้วยนะคะ”

        คุณอ๊อฟชั่น-กิตติพัฒน์ จำปา ประธานบริหาร บริษัท มันดีเวิร์ค จำกัด กล่าวว่า “ผมชอบการพัฒนาให้เท่าทันเทรนด์ทุกกระแสความเคลื่อนไหว ทั้ง "มันดีเวิร์ค" "ดูมันดิ" และ“ดีเอ็มดี มิวสิก” ผมตั้งใจและใส่ใจ ผลิตผลงานทุกอย่าง ในทุกๆ ด้านอย่างมีคุณภาพเพื่อให้สมกับที่   แฟนคลับทั้งในไทยและต่างประเทศ มอบความไว้วางใจและติดตามผลงานในค่ายเรามาโดยตลอด ในส่วนภาพยนตร์ดับแสงรวีก็เช่นกัน เราได้   พาร์เนอร์ที่ดีอย่างเวรี่เกรท ซึ่งต่างฝ่ายต่างแข็งแรงซับพอร์ทซึ่งกันและกัน ทำให้หนังออกมามีกระแสแรงที่ดีและได้ไปฉายยังต่างประเทศหลายประเทศอีกด้วย  ในส่วนของศิลปินในค่าย เราให้โอกาสศิลปินทุกคนได้พัฒนาศักยภาพของตัวเองอยู่เสมอ เมื่อเขามีศักยภาพเราก็ยื่นโอกาสให้อย่าง “ซี-นุนิว” มีความสามารถหลายด้าน รวมถึงการร้องเพลงด้วย ซึ่งทั้งคู่ก็ตั้งใจทำงานทุกอย่างออกมาได้ดี แฟนคลับทุกคนคงได้ฟังผลงานของทั้งคู่กันไปแล้ว กับเพลง “แสงรวี (Destiny)” ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้พวกเรานะครับ”

         คุณอ๊อด-บัณทิต ทองดี ผู้กำกับภาพยนตร์ “ดับแสงรวี-After Sundown” กล่าวว่า ปัจจุบันนี้โลกเปิดกว้างมากๆ แล้ว ผมในฐานะ       ผู้กำกับก็เปิดกว้างที่จะพัฒนาฝีมือตัวเองอยู่ตลอด ต้องยอมรับว่ากลุ่มคนดูหนังเปิดกว้างมากขึ้น เราก็ต้องเปิดกว้างในการกำกับภาพยนตร์ให้ออกมามีคุณภาพด้วยเช่นกัน ขอฝากผลงานการกำกับอีกหนึ่งเรื่อง กับหนังดับแสงรวีด้วยนะครับ”

       ซี-พฤกษ์ พานิช เผยความรู้สึกว่า “ตื่นเต้นและดีใจ ที่ทุกคนชอบเพลงแสงรวี เราทั้งคู่ตั้งใจมาก หายเหนื่อย เมื่อได้รู้ว่าตอนนี้เพลง    แสงรวี ติดอันดับ Twitter Trends ทั้งอันดับ 1 Worldwide Trends, Thailand Trends, Malaysia Trends, Singapore Trends และขึ้น      เทรนด์ทวิตเตอร์ในอีกหลายประเทศ รวมถึงขึ้นอันดับ 1 iTunes Chart Thailand แล้ว ขอฝากหนังและเพลงดับแสงรวีด้วยครับ”

       นุนิว-ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์  เผยความรู้สึกว่า “ดีใจและตื่นเต้นเหมือนกัน ที่จะได้ดูหนังดับแสงรวีแล้ว เป็นครั้งแรกที่ได้เล่นหนังและดีใจที่ได้เล่นหนังคู่กับพี่ซีเป็นเรื่องแรกด้วยครับ ขอบคุณแฟนคลับทั้งในไทยและต่างประเทศที่ส่งกำลังใจมาให้เราทั้งคู่นะครับ เราทั้งคู่ขอขอบคุณผู้ใหญ่ที่มอบโอกาสดีๆ ให้กับเราทั้งคู่ ขอฝากหนังและเพลงดับแสงรวีด้วยครับ ”

         ส่วนบรรยากาศภายในงาน มีทัพนักแสดงจากซีรีส์วาย  ภายใต้ผลงานการผลิตของบริษัท เวรี่เกรท จำกัด และ บริษัท มันดีเวิร์ค จำกัด รวมถึง เซเลบริตี้  คนดัง ร่วมเดินพรมแดงด้วย ไม่ว่าจะเป็น สุริยน ศรีอรทัยกุล, ธนัตถ์ศรัณย์ ซำทองไหล, หล่งซื่อ ลี หนุ่มลูกครึ่งไทย-สิงคโปร์,  เน็ต สิรภพ มานิธิคุณ, เจมส์ ศุภมงคล วงศ์วิสุทธิ์, แม้ก กรธัสส์ รุจีรัตนาวรพันธุ์, ณฐ ณฐสิชณ์ เอื้อเอกสิชฌ์ และนักแสดงอื่นๆ อีกมากมาย ยังมีผู้สนับสนุนที่มาร่วมงาน ได้แก่ ประพาฬรัตน์  ชัยชูพฤกษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนารายการ และปฏิบัติการธุรกิจ ช่อง ONE31, วิชัย กุลธวัชชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน),  สุพรรณิการ์ เจียจันทร์พงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด และจัดจำหน่าย บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด ตบท้าย โดยมี ธิดารัตน์ แลเพ็ชร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เวรี่เกรท จำกัด, อ๊อฟชั่น-กิตติพัฒน์ จำปา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มันดีเวิร์ค จำกัด, และผู้กำกับภาพยนตร์กับทีมนักแสดงอย่าง อ๊อด-บัณทิต ทองดี, ซี-พฤกษ์ พานิช, นุนิว-ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์ และทีมนักแสดงจากภาพยนตร์“ดับแสงรวี-After Sundown” อย่าง ทับทิม-อัญรินทร์ ธีรานันพัฒน์, กัน-นภัทร อินทร์ใจเอื้อ, ริท-เรืองฤทธิ์  ศิริพานิช, อาวอ-จิราวัฒน์ วชิรศรัณย์-ภัทร, น้ำมนต์-กฤตนัย อาสาฬห์ประกิต, น้ำปิง-นภัสกร ปิงเมือง, เต๋า-อดิศร อรรถกฤษณ์, มิเนย์ กฤศณัฐฐิกา จูไต๋ และ ซินแส เป็นหนึ่ง เดินปิดท้ายพรมแดงอย่างสง่างามอีกด้วย

       ขอเชิญชวน เหล่าด้อมซนซน ซันไชน์ นานานุ ที่พลาดจองบัตรไม่ทันกับงาน Exclusive Screening Party ณ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย รอยัลแกรนด์ เธียเตอร์ รวมถึงอยากให้กลุ่มแฟนคลับคอหนังกลุ่มต่างๆ เช่น แฟนคลับคอหนังผี หรือกลุ่มอื่นๆ มาเปิดใจดูหนังวายคุณภาพเยี่ยมที่ฮอตฮิตติดเทรนด์ทวิตเตอร์โลกอย่างรวดเร็ว อย่าง “ดับแสงรวี-After Sundown” ที่สำคัญเป็นหนังวายไทยที่ได้จ่อคิวเข้าฉายยังโรงภาพยนตร์ในต่างประเทศอีกหลายประเทศ สำหรับประเทศไทย เตรียมเข้าฉายแล้วทั่วประเทศวันที่ 20 ก.ค. 2566 นี้ เฉพาะที่ โรงภาพยนตร์ในเครือ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เท่านั้น 

#ซีนุนิว #ZeeNuNew  #ดับแสงรวี #ดับแสงรวีAfterSundown #ดับแสงรวีTheMove #เพลงแสงรวี #เพลงดวงจันทร์ 



วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

มูลนิธิโครงการหลวง ร่วมกับ สวพส. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการในหลักสูตรการประยุกต์ใช้โครงการหลวงโมเดล ในการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนภายใต้สถานการณ์วูก้าเวิลด์

มูลนิธิโครงการหลวง ร่วมกับ สวพส. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการในหลักสูตรการประยุกต์ใช้โครงการหลวงโมเดล

ในการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนภายใต้สถานการณ์วูก้าเวิลด์

“The Application of the Royal Project Sustainable Highland Development Model in an Unsettled and Unpredictable VUCA World”



            พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ การประยุกต์ใช้โครงการหลวงโมเดลในการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนภายใต้สถานการณ์วูก้าเวิลด์ ณ ห้องประชุม ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวง ชนกาธิเบศรดำริ อ.เมือง จ.เชียงใหม่



           การอบรมเชิงปฏิบัติการนี้ เป็นความร่วมมือของมูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. พร้อมด้วยกระทรวงการต่างประเทศ กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ (TICA) ซึ่งมุ่งกลุ่มเรียนรู้จากนานาชาติ  โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-23 กรกฎาคม 2566 ในรูปแบบการบรรยาย อภิปราย และการศึกษาดูงานในพื้นที่ปฏิบัติงานของมูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง 2 แห่ง ได้แก่ ศูนย์พัฒนาโครงการแม่แฮ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ และโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงห้วยเป้า อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่



           ศ.เกียรติคุณ ดร.พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์ กรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวงและประธานคณะทำงานวิจัยมูลนิธิโครงการหลวง กล่าวว่า จุดประสงค์การจัดหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการระดับนานาชาติ  เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้โครงการหลวงระหว่างผู้เข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติในการนำไปประยุกต์ใช้ โดยกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการนี้ เป็น 1 ใน 5 หลักสูตร ที่โครงการหลวงจัดทำขึ้นเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ที่สั่งสมมา พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ทั้งจากนักวิจัย นักส่งเสริมในสาขาต่างๆ ของมูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง ร่วมกับผู้เข้าร่วมอบรมจากประเทศไทย ภูฏาน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา มาเลเซีย ศรีลังกา และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล



            นายวิรัตน์ ปราบทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (สวพส.) กล่าวว่า การจัดหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการระดับนานาชาติครั้งนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนาพื้นที่สูงโดยถ่ายทอดตัวอย่างความสำเร็จทั้งจากเกษตรกรในพื้นที่ ผู้นำชุมชน นักวิจัย นักพัฒนาชุมชน ที่ดำเนินงานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเราเรียกว่า โครงการหลวงโมเดล และทางองค์การสหประชาชาติได้นำแนวทางของโครงการหลวงโมเดล เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้กับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ต่าง ๆ ในแนวทางการสืบสาน รักษา และต่อยอด ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่อง จนสามารถพัฒนาพื้นที่ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน ทำให้ประชาชนบนพื้นที่สูงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามลำดับ การอบรมเชิงปฏิบัติการนี้ ยังมุ่งหวังให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อเป็นรูปแบบการปฏิบัติงานที่ดี (Best Practice) รองรับการเปลี่ยนแปลงและความคลุมเครือ จากสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาที่ทุกคนจะต้องร่วมกันระดมความคิด เพื่อเตรียมพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกวูก้า ( VUCA) เพื่อสร้างสรรค์รูปแบบและบทเรียนในการพัฒนาพื้นที่สูงตามแบบโครงการหลวง (Royal Project Model) สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs)ต่อไป โดยการอบรมมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจากนานาชาติ อาทิ Bhutan, Lao PDR, Malaysia, Myanmar, Nepal, Sri Lanka, และกรณีศึกษาของ UNODC Myanmar



       รวมทั้ง การจัดหลักสูตรอบรมในครั้งนี้ มีตัวแทนจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮ อำเภอ แม่วาง จ.เชียงใหม่, ตัวแทนจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก, เกษตรกรผู้นำศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยโป่ง ตัวแทนศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยลึก ตัวแทนศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนวาง ตัวแทนจากสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ตัวแทนศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยน้ำขุ่น มาเล่าประสบการณ์ของการพลิกฟื้นพื้นที่สูงจากระบบเกษตรเดิมที่ทำลายสิ่งแวดล้อม มาสู่ระบบเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนแปลงจากการทำไร่หมุนเวียน มาเป็นการปลูกพืชเขตหนาวที่สร้างอาชีพบนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการส่งเสริมพัฒนาชุมชนคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน 


ททท. ชวนเที่ยวงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 41 ปี 2566” จัดเต็มท่องเที่ยวมิติใหม่ที่สุขใจกว่าที่เคย 2-6 สิงหาคม 66 นี้

ททท. ชวนเที่ยวงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 41 ปี 2566” 

จัดเต็มท่องเที่ยวมิติใหม่ที่สุขใจกว่าที่เคย 

2-6 สิงหาคม 66 นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

       นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมด้วยนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 41 ปี 2566” ระหว่างวันที่ 2-6 สิงหาคม 2566 ณ ฮอลล์ 5-8 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชวนแกะกล่องความมหัศจรรย์ของเมืองไทย ภายใต้คอนเซปต์ “นวัฒนธรรม”หรือ Inno-Cultural for Sustainable Tourism นำเสนอการท่องเที่ยวไทย 5 ภูมิภาค ในรูปแบบวัฒนธรรมสมัยใหม่ผสมผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรม ส่งมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวสุดอันซีน ไร้ขีดจำกัด เหนือความคาดหมาย และน่าประทับใจ กระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวทันที พร้อมรับความสุขมากกว่าที่เคย ณ ห้องโถงธนะรัชต์ ชั้น 1 อาคาร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 

          นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า ททท. เตรียมปลุกกระแสการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ กำหนดจัดงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 41 ปี 2566” ระหว่างวันที่ 2-6 สิงหาคม 2566 ณ ฮอลล์ 5-8 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชูแนวคิด “นวัฒนธรรม” (Inno-Cultural for Sustainable Tourism) โดยนำนวัตกรรมเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ มาผสมผสานกับวัฒนธรรมและ Soft Power ของไทย เพื่อนำเสนออัตลักษณ์การท่องเที่ยวเมืองไทย ทั้ง 5 ภูมิภาคในรูปแบบวัฒนธรรมร่วมสมัย สอดรับกับแนวคิดการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน (Sustainable Tourism) เพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยว กระตุ้นให้เกิดความต้องการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศทันที ผ่านความเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ทุกภูมิภาคในประเทศไทย 

        นางสาวฐาปนีย์  เกียรติไพบูลย์  รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. เปิดเผยถึงไฮไลท์สำคัญของ “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 41 ปี 2566” ว่า  ททท. เตรียมชวนแกะกล่องความมหัศจรรย์ของเมืองไทย พาสัมผัสเอกลักษณ์ของ 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ ทั้งด้านประเพณี วัฒนธรรม วิถีชีวิต ภูมิปัญญาและแหล่งท่องเที่ยวใหม่ พร้อมนำเสนอความหลากหลายของ Landmark จากแหล่งท่องเที่ยว Unseen New Chapters รวมถึงกิจกรรมท่องเที่ยวมิติใหม่ที่ส่งเสริมแนวคิด Sustainable Tourism ผ่าน 9 โซนหลักภายในงาน ดังนี้คือ

โซนที่ 1 : AMAZING THAILAND  เริ่มต้นของการเดินทางท่องเที่ยว พบกับความเป็น Amazing Thailand รูปแบบใหม่ที่ Amazing ยิ่งกว่าเดิม เนรมิตพื้นที่ Theme Area ร่วมกับ Rakdok ยกกองทัพดอกไม้มาออกแบบเป็นจุดเช็กอินสุดอาร์ตจากฝีมือของคุณ Joe Rainforest นักจัดดอกไม้ชื่อดัง วางกรอบรูปประเทศไทย ถ่ายทอดอัตลักษณ์ 5 ภูมิภาค เป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen New Chapters ได้แก่ ภาคเหนือ - มหัศจรรย์น้ำตกหมอกเมืองไทย จ.เพชรบูรณ์ ภาคกลาง - อันซีนภูผาแรด มุมลับสุดอาร์ตแห่งราชบุรี จ.ราชบุรี ภาคตะวันออก - เส้นทางท่องวังพญานาควัดมณีวงศ์ จ.นครนายก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ-ท่องอาณาจักรสวนหินล้านปี มอหินขาว จ.ชัยภูมิ และภาคใต้ - ย้อนเวลาหาความสงบสุข...เที่ยวเกาะหลงยุคแห่งอันดามัน จ.ระนอง ก่อนจะตื่นตาตื่นใจกับ LED Box ที่จะพาเข้าไปท่องเที่ยวเสมือนจริงด้วยมุมมองภาพแหล่งท่องเที่ยวแบบรอบตัว อย่างเต็มอิ่ม และชวนผจญภัยสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวและวัฒนธรรมผ่านเกมออนไลน์ ‘Home Sweet Home’ จากนั้นแวะจิบกาแฟ Showcase  ต้นแบบกาแฟรักษ์โลกแบบ Cozy Camping  นอกจากนี้ ยังมีโซน TAT Souvenir of Thailand จัดจำหน่ายสินค้าและของที่ระลึกภายใต้แบรนด์ Amazing Thailand อาทิ เสื้อโปโล หมวก ร่ม กระเป๋าเดินทาง , นิตยสาร อสท. , TAT NFT, เคาน์เตอร์บริการข่าวสารท่องเที่ยว TAT Contact Center 1672 Travel Buddy


โซนที่ 2 : ภาคตะวันออก เพิ่มสีสันของท่องเที่ยวไทยสุดเอ็กซ์สตรีมไปกับ "สบ๊ายสบาย    ภาคตะวันออก" ชูแนวคิด “Love Ea(s)t All Around” ผ่าน 4 Story ได้แก่ ยืนหนึ่งเรื่องกิน สุดฟินเรื่องสบาย     จิตผ่อนคลายสายมู เรียนรู้เรื่องรักษ์ ชู Soft Power ด้านอาหาร (Food) เป็นจุดเด่น ผนวกกับกิจกรรมท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน อาทิ กิจกรรม Eco printing สร้างสรรค์งานศิลปะจากธรรมชาติ โดยชุมชนพนัสนิคม จ. ชลบุรี กิจกรรมสาธิตการทำมัดย้อมสีจากเปลือกมังคุด จาก วิสาหกิจชุมชนแตนบาติก จ.ระยอง กิจกรรมสาธิต โมบายจากขยะ DIY ฝาขวดพลาสติกนำมาร้อยเรียงเป็นชิ้นงานโมบาย จากวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านธรรมชาติล่าง จ.ตราด ภายในโซน ผู้เข้าชมงานจะได้พบกับไฮไลท์จุดแลนด์มาร์คถ่ายภาพ 360 องศา อาทิ เกาะขายหัวเราะ จ.ตราด สะพานอัษฎางค์ เกาะสีชัง จ.ชลบุรี หนึ่งใน Unseen New Chapters  ทุ่งโปรงทอง จ.ระยอง เป็นต้น และโซนอาหารถิ่น ผลไม้ อาหารทะเลดังของภาคตะวันออกมาไว้ในงาน อาทิ ก๋วยเตี๋ยวกั้ง ข้าวคลุกพริกเกลือ โรตีสายไหมทุเรียน ทอดมันกระวาน หมูชะมวง เส้นจันท์ผัดปู น้ำมะปี้ด ไอติมมะยงชิด และจำลองพื้นที่กิจกรรม Soft Adventure เอาใจสายลุย เที่ยวภาคตะวันออก เช่น กิจกรรมปีนผา ทดลองเล่น Surf และพัตกอล์ฟแบบสบ๊ายสบายสไตล์ ภาคตะวันออก 


โซนที่ 3 : ภาคกลาง ก้าวสู่ดินแดนที่ราบลุ่มแม่น้ำ ซึมซับประสบการณ์การท่องเที่ยวสไตล์ “Trendy  C2 ภาคกลาง” ภายใต้แนวคิด “ความสุขง่ายๆ หาได้ที่ภาคกลาง” โดดเด่นด้วยแลนด์มาร์ก "หอมนสิการ" ธรรมะแกลลอรี จ.สระบุรี อันดับ 1 ของการโหวตในโครงการ Unseen New Chapters ประจำปี 2566 จัดแสดงแบบ Interactive ครั้งแรกในประเทศไทย กับศิลปะร่วมสมัย ทั้งภาพ แสง เสียงบรรยาย และวิดีโอสื่อผสมระดับภาพยนตร์ จากนั้นเพิ่มความฮิปสเตอร์ สไตล์ Camping นำเสนอรถคาราวาน Airstream และ Camper Van  และร้อยเรียงเรื่องราวกับโซนสาธิตของศิลป์แผ่นดิน นำเสนองานหัตถศิลป์ที่หาชมได้ยากโดยช่างฝีมือจากสถาบันสิริกิติ์ และการประกอบเครื่องคาวหวานจากโรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง) อาทิ สาธิตการทำขนมชุบ ขนมเกสรลำเจียก ขนมเบื้อง ตามตำหรับชาววัง และเติมความสุขชาร์จพลังกายใจ ร่วมกับ สมาคมผู้บริโภคอินทรีย์ไทย (TOCA) นำเสนอสวนผักแนวตั้ง ผลักดันการท่องเที่ยววิถีเกษตรอินทรีย์ (Organic Tourism) ที่ยั่งยืนด้วยการสะสม Earth Point ผ่าน TOCA Platform เพื่อแลกรับสิทธิพิเศษต่างๆ ที่ร่วมรายการ

โซนที่ 4 : ภาคเหนือ เปิดหมู่บ้านต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย "เสน่ห์วันวานเมืองเหนือ" (North Nostalgia) ผสมผสานความร่วมสมัย Northern Thailand Soft Power รณรงค์แต่งชุดพื้นเมืองภาคเหนือ พรีเซนต์แลนด์มาร์กและจุดถ่ายภาพจำลอง 4 แห่ง ได้แก่ แมงสี่หูห้าตา จ.เชียงราย บ้านอาจารย์โกมล จ.แพร่ ประเพณีสลากย้อม จ.ลำพูน และบ้านเหมืองกุง จ.เชียงใหม่ แวะเติมความสดชื่นที่ซุ้มเย็นใจ๋ รวบรวมร้าน ชา กาแฟ โกโก้ คราฟท์โซดา หรือเครื่องดื่มผลิตจากภาคเหนือ ตกแต่งสไตล์บรรยากาศ Glamping จำนวน 12 บูธ ก่อนจะเติมเสบียงแบบลำแต้แต้ที่ กาดหมั้ว จัดเต็มอาหารเหนือ อาหารฟิวชั่น มิชลินเชียงใหม่ ให้ได้ลิ้มลองกันอย่างเต็มอิ่ม ได้แก่ Ginger Farm Kitchen ครัวหลองข้าว ร้านดำรงค์ By หมูทอดกาดหลวงเชียงใหม่ ก๋วยเตี๋ยวอังเล ร้านมิสเตอร์ฮังเล จ.ลำปาง ข้าวเปิ๊บบ้านนาต้นจั่น จ.สุโขทัย ขนมเทียนเสวย บ้านกนกมณี จ.อุตรดิตถ์ จากนั้นเสิร์ฟความฟินผ่อนคลายแบบชิวๆ ที่กาดนวด ด้วยกิจกรรม Wellness นวด/สปา ภาคเหนือ เช่น สปาจักราศี/สปาฟ้อนเล็บ การนวดภูมิปัญญาชาวบ้าน และเพลิดเพลินที่ ซะป๊ะคราฟท์ จัดจำหน่ายสินค้า Handicraft ตกแต่งสไตล์ minimal และ กิจกรรม DIY อาทิ การเพ้นท์เครื่องปั้นดินเผาชุมชนบ้านเหมืองกุง - แสตมป์ไม้บนถุงผ้า ฟ้าฮ่าม Indigo Craft & Studio จ.แพร่ – ทำตุ้มหู และพวงกุญแจจากเศษผ้า สุนทรีผ้าไทย Suntree-Thai จ.สุโขทัย - ทำตุงใยแมงมุม บ้านหนองหม้อ Creative Village จ.เชียงราย พร้อมอัปเดท Product Highlight 3 บูธ สินค้าที่โดดเด่นของภาคเหนือ ได้แก่ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์, กิจการน้ำพุร้อนสันกำแพง จ.เชียงใหม่, งาน Thailand Biennale Chiang Rai และส่งท้ายกันที่ ลานกิจกรรม “เวิ้งแวดเวียง” นำเสนอการเดินทางท่องเที่ยวในเรื่องความเชื่อและศรัทธา (Faith+Festival) Illumination  ฉายภาพจำลองสถานที่และเทศกาลที่มีชื่อเสียง เช่น เทศกาลโคมแสนดวง เทศกาลลอยกระทง จุดชมวิวทะเลหมอก สถานที่ท่องเที่ยว Unseen New Chapters  หรือกิจกรรมทางการท่องเที่ยว เช่น ล่องแก่ง พายซับบอร์ด บอลลูน เป็นต้น 


โซนที่ 5 : ภาคใต้  ล่องปักษ์ใต้ได้แรงอก หรอยแรงกันอย่างต่อเนื่อง ชูแนวคิด “เที่ยวใต้ : สะดวกสบายทันสมัย ปลอดภัยได้มาตรฐาน และสัมผัสกับประสบการณ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่ความยั่งยืน” ผ่านธีม "14 x 24 x 365 หรอยแรง"  เที่ยวสนุกสุดๆ ที่ปักษ์ใต้ นักท่องเที่ยวจะได้หรอยแรงไปกับจอ LED ขนาด 22 เมตร x 6 เมตร ออกแบบสไตล์ Modern Southern นำเสนอบรรยากาศภาคใต้ทุกจังหวัดทุกช่วงเวลา พร้อมถ่ายรูปกับแหล่งท่องเที่ยว Popular Southern เช่น ซุ้มประตูอุทยานธรรมธรรมเขานาในหลวง , เขาพับผ้า หนึ่งใน Unseen New Chapters ต่อมากับโซนอาหาร ชวนลิ้มลอง 36 ร้านอาหารหรอยแรง โรตี จำนวน 3 ร้าน และ ชาชัก จำนวน 2 ร้าน กิจกรรม DIY มากมาย อาทิ ผลิตภัณฑ์ลูกปัดโนรา ผลิตภัณฑ์จากกระจูด ให้ผู้เข้าชมงานได้ร่วมทดลองทำของที่ระลึกกลับบ้านที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก การนำเสนอการแสดงทางวัฒนธรรมท้องถิ่น และการแสดงวัฒนธรรมแบบประยุกต์ ประกอบฉากสุดอลังการบนจอ LED ขนาดยักษ์ อาทิ การแสดงโนรา, มวยไชยา และลิเกฮูลู นอกจากนี้ ยังมอบความสะดวกสบายให้แก่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ด้วยเว็บไซต์ www.tourismdepartmentstore.com หรือ “ห้างททท.” ที่รวบรวมดีลสุดพิเศษจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวจากทั่วประเทศไทยกว่า 300 ร้านค้าออนไลน์

โซนที่ 6 : ภาคอีสาน ชวน “หลงรักแผ่นดินถิ่นอีสาน” ปลดล็อกประสบการณ์ท่องเที่ยว ภายใต้แนวคิด “อีสาน...ไปไสกะแซ่บ” มากกว่าความแซ่บคือ ประสบการณ์ โดยนำเสนอประสบการณ์ความ “แซ่บ” ของอีสานผ่านวัฒนธรรมและนวัตกรรมอาหารอีสานและการแสดง เพิ่มดีกรีความแซ่บไปกับไฮไลท์ห้ามพลาด 7 แซ่บ ประกอบด้วย แซ่บแรก เชิญเดินเข้า “ไห...เทค” ไหปลาร้าเรืองแสง ที่จะทำให้ทุกคนได้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทำปลาร้า ปลาแดก ของอีสาน ผ่านประสบการณ์รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ตั้งแต่ต้นน้ำ ไปจนถึง Go Inter แซ่บที่ 2 เชิญชิม 20 ร้านดังจาก 20 จังหวัดภาคอีสาน เช่น ตำกระเทย สาเกต จ.ร้อยเอ็ด อังแกบบอบ จ.สุรินทร์ เนื้อแห้ง 100 ปี จ.อำนาจเจริญ เป็นต้น แซ่บที่ 3 เชิญลอง 20 จานแซ่บ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย เช่น ไก่กระเต็ด จ.นครราชสีมา แซลมอนน้ำปลาร้า จ.อุดรธานี ข้าวปุ้นน้ำนัว จากนครพนม เป็นต้น  แซ่บที่ 4 เชิญชม 10 นวัตกรรมอาหารอีสาน Go Inter เช่น ไก่ไร้เก๊า จากขอนแก่น สบู่หอมแดง จากศรีสะเกษ ส้มตำอบกรอบ ที่รับประทานได้ง่ายๆ เพียงเติมน้ำลงไป แซ่บที่ 5 เชิญชอป สินค้า ISAN Arts & Crafts เช่น ผ้าทอมือย้อมคราม ย้อมโคลน ย้อมสีธรรมชาติ ย้อมภูอัคนี กระเป๋าเสื่อกก จากการประชุม APEC ที่ผ่านมา เป็นต้น แซ่บที่ 6 เชิญม่วนกับการแสดงม่วนซื่นโฮแซว เช่น ขบวนแห่เซิ้งบั้งไฟเปิดหมู่บ้านอีสาน การแสดงผีตาโขน การแสดงหมอลำหุ่นกระติ๊บ การแสดงหุ่นเต้น ดนตรีโฟล์คอีสาน การแสดงโปงลางกาฬสินธุ์  แซ่บที่ 7 พาแลงแฮงเอาท์ พื้นที่ล้อมวงรับประทานสำรับ “พาแลง” อาหารท้องถิ่นสไตล์อีสานบ้านเฮา พร้อมพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางบรรยากาศสุดม่วนซื่น


โซนที่ 7 : พันธมิตรท่องเที่ยวไทย จับมือพันธมิตรท่องเที่ยวสร้างการรับรู้ท่องเที่ยวในแง่มุมต่างๆ ภายใต้แนวคิด TAT and the Gangs ได้แก่ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ธนาคารกรุงเทพ ศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและความมั่นคง การกีฬาแห่งประเทศไทย (กท.) กรุงเทพมหานคร (กทม.)  สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)  บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ตำรวจท่องเที่ยว สมาคมสายการบินประเทศไทย สมาพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (FETTA)

โซนที่ 8 : เวทีกลาง  จัดเต็มบรรยากาศแห่งความสนุกสนาน ส่งมอบความสุขแบบ Non-stop ตลอด 5 วัน  สะท้อนอัตลักษณ์ของท้องถิ่นทั้ง 5 ภูมิภาค เช่น การแสดงนาฎมวยไทย และคีตะมวยไทย การแสดงจากวิทยาลัยนาฎศิลป์กาฬสินธุ์ รำวงเพชรบุรี ทิฟฟานี่ คาบาเร่ต์โชว์ โขนและโนรา ฟีโน่ เดอะ ระนาด พร้อมการแสดงจากศิลปินที่นำไปสู่การเดินทางท่องเที่ยว เช่น เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ เป๊ก ผลิตโชค  Paper Planes เจ เจตริน PARADOX PALMY 4MIX New Country Sarah Salola ลิเกฮีโร่ คณะสองเทพบุตรสุดที่รัก การแสดงหมอลำใจเกินร้อย (แอน อรดี บอย ศิริชัย) เอกชัย ศรีวิชัย เพลงลูกกรุงสุนทราภรณ์ ฯลฯ


โซนที่ 9 : TAT Net Zero ตอกย้ำหมุดหมายของการขับเคลื่อนท่องเที่ยวไทยสู่ความยั่งยืน(Sustainable Tourism)  นำเสนอความพร้อมของสินค้า บริการ และกิจกรรมทางการท่องเที่ยวในรูปแบบ Tourist Journey ชวนนักท่องเที่ยวสัมผัสถึงประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tourism) ตามแนวคิด TAT Net Zero ภายใต้ยุทธศาสตร์ Sustainable Tourism Goals: STGs ไปกับ Sustainable Tourism Goals Games & Activities บันไดแห่งความยั่งยืน และ Mapping Exhibition นำเสนอเรื่องราว The Nature Tourism, Amazing Thailand, เที่ยวได้ให้ด้วย, The Journey of Low Carbon Experience นำเสนอเรื่องราวโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (CF-Hotels) และรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism Awards : TTA) กิจกรรม Workshop จากชุมชน บูธปั่นเพื่อโลก Green Market เที่ยวด้วยช่วยได้ ตลาดสีเขียวรักษ์โลกนำเสนอสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การจัดแสดง Turning Trash to Treasured Art เปลี่ยนขยะสู่งานศิลปะล้ำค่า, กิจกรรม Share and Care the World และร่วมสัมผัสประสบการณ์และออกเดินทางไปกับ "เส้นทางการท่องเที่ยว Low Carbon เที่ยวไทย หัวใจฮีโร่" ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชุมชน กิจกรรมท่องเที่ยวรักษ์โลกฯ

    นอกจากนี้ ททท. ยังตอกย้ำ DNA  ขององค์กรในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน มุ่งสู่คำว่า “Net Zero Tourism”  โดยตั้งใจออกแบบการจัดงานให้มีการสร้างขยะน้อยที่สุด จึงได้ยกแนวคิด “Zero Landfills” ลดการสร้างขยะนำสู่บ่อฝังกลบ นำสู่การปฏิบัติ และมีการกำจัดอย่างถูกวิธี ไม่ให้การเดินทางท่องเที่ยวทิ้งภาระให้กับสิ่งแวดล้อม และลดการใช้วัสดุสิ้นเปลืองในการตกแต่งภายในงาน โดยนำเทคโนโลยีมานำเสนอความน่าสนใจของแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งภายในงานยังมีการตั้งจุดคัดแยกขยะ ทั้งหมด 14 จุด ประกอบด้วย 9 จุด ทั่วพื้นที่จัดงาน และ 5 จุด ตามโซนอาหารต่าง ๆ โดยแต่ละจุดจะมีเจ้าหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการแยกขยะและกำจัดขยะอย่างถูกต้องในกิจกรรม “ลดโลกเลอะ Zero Landfills” ทั้งยังได้รับการสนับสนุนความร่วมมือกับพันธมิตร ได้แก่ กลุ่ม The Green ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร โครงการ Youเทิร์น by บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC รวมทั้ง  บริษัท Cirplas และ บริษัท N15 Tecnology เพื่อร่วมกันจัดการขยะ 

      ทั้งนี้ แนะนำให้ผู้เข้าร่วมงานใช้บริการขนส่งสาธารณะ โดยสามารถเดินทางเข้ามายังศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้หลายวิธี ได้แก่ รถไฟฟ้า MRT สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์, เดินทางโดยรถแท็กซี่ ณ จุดบริการรับ-ส่ง ชั้น G บริเวณฝั่งทะเลสาบ, รถประจำทาง สาย 136 หรือ หากเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว สามารถมาจอดได้ที่ ชั้น B1 B2 LM จอดฟรี 3 ชั่วโมงแรก ถัดไป ชั่วโมงละ 30 บาท

       ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 41 ประจำปี 2566” วันที่ 2-6 สิงหาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น. ณ ฮอลล์ 5-8 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เข้าร่วมงานฟรี ทั้งนี้สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TAT Contact Center 1672 Travel Buddy

วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

Borderless Healthcare Group ปฏิวัติด้านการดูแลสุขภาพในอินโดจีนแบบใหม่ จับมือแพทย์ร่วมแบ่งปันความรู้ระหว่างประเทศด้วยระบบคลาวด์ “Borderless.clinic”

Borderless Healthcare Group ปฏิวัติด้านการดูแลสุขภาพในอินโดจีนแบบใหม่ 

จับมือแพทย์ร่วมแบ่งปันความรู้ระหว่างประเทศด้วยระบบคลาวด์ “Borderless.clinic”

ประเทศไทยและเวียดนามกำลังเป็นผู้นำในเขตอินโดจีนด้านการเปลี่ยนแปลงการดูแลสุขภาพจากฐานความรู้การแพทย์


          ดร. เว่ย เซียง หยู ผู้ก่อตั้งและประธาน Borderless Healthcare Group เปิดตัวการดูแลสุขภาพในอินโดจีนแบบใหม่ จับมือแพทย์ร่วมแบ่งปันความรู้ระหว่างประเทศด้วยระบบคลาวด์ “Borderless.clinic” โดยมี นพ.ชาตรี แสงหิรัญวัฒนา แพทย์ผสมเทียมระดับอาวุโสของประเทศไทย, คุณกนกนัท อรรถญาณสกุล กรรมการบริหารของ อมาธารา เวลเลย์เชอร์ รีสอร์ท, Dr Kenneth Leong, BHG Medical Director, Dr Wayne Ho (Clinical Assistant Professor at the University of Southern California) และ Dr Tan Yong Seng (Senior Cardiothoracic Surgeon in Singapore) มาร่วมพูดคุยให้ความรู้เรื่องการแพทย์ ณ ที่ทำการบริษัท ชุมชนเลื่อนฤทธิ์ จำกัด แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม2566


          Borderless Healthcare Group ซึ่งเป็นผู้นำแนวหน้าระดับโลกด้านการเปลี่ยนแปลงและผสานเทคโนโลยีดูแลสุขภาพ สื่อ บริการโทรคมนาคม และผู้ผลิตเนื้อหา ประกาศเทรนด์เศรษฐกิจด้านการดูแลสุขภาพแบบใหม่บนพื้นฐานความรู้ในเขตอินโดจีนด้วยระบบคลาวด์ที่แบ่งปันความรู้ทางการแพทย์ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในภูมิภาคและทั่วโลกสามารถทำงานร่วมกับแพทย์ท้องถิ่น ในการช่วยปรับสมดุลระดับความรู้และระบบการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพในภูมิภาค


           ตลาดการรักษาและการดูแลสุขภาพในเขตอินโดจีนไม่ได้แค่ขับเคลื่อนโดยการเติบโตของตลาดในประเทศเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ระหว่างประเทศด้วย โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันได้รับการพัฒนาจนมีชื่อเสียงในระดับมาตรฐานสากล ในขณะนี้ประเทศในเขตอินโดจีนอนุญาตให้แพทย์ต่างชาติประกอบวิชาชีพในท้องถิ่นได้ ยกเว้นประเทศไทยที่ยังไม่มีการอนุญาติให้แพทย์ต่างชาติประกอบวิชาชีพในท้องถิ่น และตอนนี้ภูมิภาคอินโดจีนได้มีการเชื่อมต่อกันโดยรถไฟความเร็วสูง เที่ยวบินที่สม่ำเสมอ และทางหลวงระหว่างประเทศ ทำให้ยุคใหม่ของเศรษฐกิจด้านการดูแลสุขภาพบนพื้นฐานข้อมูลกำลังจะเกิดขึ้น เพื่อเอื้ออำนวยต่อการป้องกันโรคได้ก่อน ทราบผลการวินิจฉัยเร็วขึ้น และวางแผนการรักษาที่แม่นยำยิ่งขึ้น ด้วยการสนับสนุนของผู้นำองค์ความรู้ทางการแพทย์ที่ดีที่สุด


           ดร. เว่ย เซียง หยู ผู้ก่อตั้งและประธาน Borderless Healthcare Group กล่าวว่า "ผลกระทบของเศรษฐกิจด้านการดูแลสุขภาพบนฐานความรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโรงพยาบาลและคลินิกเท่านั้น ความรู้ความชำนาญของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและสุขภาวะบนระบบคลาวด์สามารถก้าวข้ามไปสู่ประสบการณ์การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีทางไกลที่ดีกว่าได้ ไม่ว่าจากที่รีสอร์ท บ้าน สำนักงาน ศูนย์กลางชุมชน ฯลฯ เรามองว่าทั้งภูมิภาคเป็นเหมือนหมู่เกาะแห่งสุขภาพที่รายล้อมไปด้วยรีสอร์ทสไตล์บูติกทางการแพทย์และเพื่อสุขภาพที่ใช้เทคโนโลยีประกอบ”

            นพ.ชาตรี แสงหิรัญวัฒนา แพทย์ผสมเทียมระดับอาวุโสของประเทศไทยที่ทำงานร่วมกับทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการเจริญพันธ์ระดับนานาชาติ เพื่อเริ่มโครงการรีสอร์ทเพื่อสุขภาพการเจริญพันธ์แห่งแรกของประเทศไทย กล่าวว่า “จากการที่ประเทศเพื่อนบ้านเปิดให้แพทย์ต่างชาติมอบการรักษาในประเทศและรับการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น ประเทศไทยต้องยกระดับความสามารถในการแข่งขันให้เท่าเทียมโดยหลอมรวมธุรกิจการรักษาพยาบาล การดูแลสุขภาพ และการท่องเที่ยวพักผ่อน เข้าด้วยกันเป็นประสบการณ์หนึ่งเดียวแบบไร้รอยต่อและใช้เทคโนโลยีผสานเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว”


            คุณกนกนัท อรรถญาณสกุล กรรมการบริหารของ อมาธารา เวลเลย์เชอร์ รีสอร์ท หนึ่งในรีสอร์ทเพื่อสุขภาพชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า "การเติบโตของธุรกิจรีสอร์ทเพื่อสุขภาพในเอเชียนั้นเหมาะสมกับสถานการณ์ เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพในการดึงดูดกลุ่มบุคคลที่มีรายได้สูงทั่วโลกได้ดี บุคคลเหล่านี้มีรสนิยมที่ดีและต้องการมีประสบการณ์ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายของรีสอร์ท และการได้รับการสนับสนุนจากการแพทย์แนวป้องกันชั้นนำของโลก”

            ปรากฏการณ์ด้านการดูแลสุขภาพบนพื้นฐานความรู้ที่ผสานเทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ในภูมิภาคนี้ คาดว่าจะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมาก ด้วยการบรรจบกันของหลากหลายอุตสาหกรรม จะช่วยส่งเสริมมุมมองการลงทุนและโอกาสใหม่ ๆ ที่เชื่อมโยงกัน โดยที่ Borderless Healthcare Group ได้สร้างโชว์รูม “Borderless Lifestyle” และศูนย์ฝึกอบรมขึ้นแล้วในประเทศไทย เพื่อการทำงานร่วมกันกับพันธมิตรธุรกิจจากอุตสาหกรรมการแพทย์ การดูแลสุขภาพ อสังหาริมทรัพย์ การให้บริการ การท่องเที่ยว และการลงทุน


วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

Jim Thompson x GOH M เปิดคอลเลกชันสุดเซอร์ไพรส์

 Jim Thompson x GOH M เปิดคอลเลกชันสุดเซอร์ไพรส์ 

ผลงานคอลแลบ “โก๋เอ็ม” ครีเอตลวดลายสุดยูนีคที่ผสานโลกแห่งป๊อปอาร์ต สตรีทอาร์ต และกราฟฟิตี้ เข้ากับแบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ได้อย่างน่าตื่นเต้น

สนุกสนานไปกับไอเทมสไตล์สตรีทและพาเลตสีอันโดดเด่นจากคอลเลกชันสุดท้ายของแคมเปญ ARTISTS IN RESIDENCE จากจิม ทอมป์สัน

         จิม ทอมป์สัน แบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ระดับโลกของเมืองไทย เดินหน้าสร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ให้วงการแฟชั่นอีกครั้งกับการเปิดตัว JIM THOMPSON x GOH M คอลเลกชันสุดพิเศษลำดับสุดท้ายของแคมเปญ ARTISTS IN RESIDENCE สุดสร้างสรรค์ที่ดึง 3 ศิลปินไทยมากความสามารถมาร่วมนำเสนอเอกลักษณ์และถ่ายทอดศิลปะของตนผ่านคอลเลกชันสุดยูนีคในปี 2566

        คอลเลกชัน JIM THOMPSON x GOH M รังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่สายแฟชั่นด้วยการเบลนด์ป๊อปอาร์ต สตรีทอาร์ต กราฟฟิตี้ เข้ากับความสวยงามประณีตในทุกดีเทลของผลิตภัณฑ์จาก จิม ทอมป์สัน การคอลแลบกับอาร์ติสต์กราฟฟิตี้ชื่อดังอย่าง “โก๋เอ็ม” ถือเป็นการรังสรรค์โลกแฟชั่นใบใหม่ที่แปลกตาด้วยพาเลตสีที่สดใสจัดจ้าน พร้อมลวดลายสุดไอคอนิกที่มีเอลิเมนต์แห่งความสนุกสนานอย่างเต็มเปี่ยม

        จิม ทอมป์สัน ริเริ่มโปรเจ็กต์ ARTISTS IN RESIDENCE ด้วยเป้าหมายในการปลุกพลังความคิดสร้างสรรค์ที่สดใหม่มาสู่อุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ด้วยการดึง 3 ศิลปินไทยมากพรสวรรค์ที่เชี่ยวชาญศิลปะในสาขาแตกต่างกันมาร่วมครีเอตเอ็กซ์คลูซีฟคอลเลกชัน เพื่อเติมแต่งสีสันและสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้แก่โลกแฟชั่น นอกจากนี้ ยังถือเป็นการเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าสายอาร์ตและคนรุ่นใหม่ ผ่านสไตล์ที่ฉีกออกจากภาพจำแบบเดิมๆ 

          นันท์นภัส เวโรจนวัฒน์ ผู้อํานวยการฝ่ายการตลาด จิม ทอมป์สัน กล่าวว่า "ARTISTS IN RESIDENCE เป็นโปรเจ็กต์ที่ได้การตอบรับอย่างอบอุ่น ต้องขอบคุณศิลปินไทยทั้งสามคนที่นำไอเดียใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นมาร่วมสร้างคอลเลกชันแสนพิเศษกับเราในปีนี้ สำหรับคอลเลกชัน JIM THOMPSON x GOH M เราอยากชวนสายแฟชั่นมาเปิดประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและแปลกใหม่กับไอเทมที่เติมความสนุกให้ทุกลุค"

        ด้าน โก๋เอ็ม - กิตติพงษ์ คำศาสตร์ กล่าวถึงผลงานการสร้างสรรค์ของเขาว่า "ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาคอลแลบกับจิม ทอมป์สันในการสร้างคอลเลกชันสุดพิเศษในครั้งนี้ ดีใจที่สไตล์ศิลปะร่วมสมัยของผมสามารถเบลนด์เข้ากับกลิ่นอายความเป็นจิม ทอมป์สัน ได้อย่างสมบูรณ์แบบ งานของผมกับแบรนด์จิม ทอมป์สันเหมือนจะเป็นโลกสองใบที่แตกต่างกัน แต่เราดึงจุดเด่นของกันและกันออกมาได้อย่างสนุกสนานและกลมกล่อมลงตัว"

      ลายเซ็นของ โก๋เอ็ม ได้รับการถ่ายทอดผ่านคอลเลกชัน JIM THOMPSON x GOH M โดดเด่นด้วยลายปรินต์ที่อินสไปร์มาจากป๊อปอาร์ต ผสมผสานเอลิเมนต์ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างดอกไม้ ผลไม้ และช้าง คอลเลกชันนี้หยิบเอาแรงบันดาลใจจากผลไม้ไทยอย่างมังคุดและส้ม อีกทั้งยังมีช้างที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยมาเป็นอีกหนึ่งลวดลายหลัก รังสรรค์เป็นพาเลตสีม่วง สีส้ม และสีเขียวที่แมตช์กันอย่างลงตัว สร้างแพทเทิร์นที่สวยสะดุดตาและโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

         คอลเลกชันนี้ยังนำเสนอลายปรินต์และลายเส้นแบบกราฟฟิตี้อันโดดเด่นของ โก๋เอ็ม ที่ผสมผสานระหว่างป๊อปอาร์ต สตรีทอาร์ต กราฟฟิตี้ และความเป็นจิม ทอมป์สัน เน้นการใช้ลายเส้นและเฉดสีพาสเทลสดใสที่สร้างความแปลกใหม่ พร้อมด้วยลวดลายไทย ๆ อย่างส้ม มังคุด และช้าง เสริมให้คอลเลกชันนี้มีเอกลักษณ์และสวยงามน่าหลงใหล ทุกไอเทมเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง เช่น คอตตอน ผ้าไหม และลินิน พร้อมไอเทมหลากหลายสไตล์สำหรับทั้งชายและหญิง สำหรับผู้หญิง อาจเลือกเป็นเดรสโอเวอร์ไซส์ เสื้อผ้าไหมแขนกุด เสื้อยืดคอตตอน และกางเกงฟิชเชอร์แมนผ้าไหม ส่วนผู้ชายสามารถเลือกสวมใส่ไอเทม Must-have เช่น เสื้อฮาวายผ้าไหม เสื้อยืดคอตตอนโอเวอร์ไซส์ รวมถึงกางเกงขาสั้นและเสื้อยืดผ้าลินิน

         ร่วมเปิดประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นไปกับผลงานคอลแลบสุดเซอร์ไพรส์ระหว่างจิม ทอมป์สัน และโก๋เอ็ม ที่ซึ่งโลกของป็อปอาร์ต สตรีทอาร์ต กราฟฟิตี้ และแบรนด์ไอคอนิกไลฟ์สไตล์ มาบรรจบกันอย่างลงตัว 

ช้อปคอลเลกชัน JIM THOMPSON x GOH M ได้ที่สโตร์ จิม ทอมป์สัน ทุกสาขา




ททท. ร่วมกับบริษัท ฟายด์ โฟล์ค จำกัด จับมือพันธมิตร จัดงาน Tha Tien Fest : ท่าเตียนเฟส ภายใต้แนวคิด “คิดถึง สืบสาน เสน่ห์”

ททท. ร่วมกับบริษัท ฟายด์ โฟล์ค จำกัด จับมือพันธมิตร 

จัดงาน Tha Tien Fest : ท่าเตียนเฟส ภายใต้แนวคิด “คิดถึง สืบสาน เสน่ห์”

       นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน "Tha Tien Fest: ท่าเตียนเฟส" ภายใต้ แนวคิด “คิดถึง สืบสาน เสน่ห์” พร้อมเยี่ยมชมบูธจัดแสดงวัฒนธรรมด้านอาหารและสินค้าชุมชน รวมไปถึงการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากขยะในแหล่งท่องเที่ยว ณ ลานอัฒจันทร์กลางแจ้ง มิวเซียมสยาม และชุมชนท่าเตียน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566


        นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า ในปี 2566 ททท. ได้ดำเนินการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับโมเดล BCG โดยมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์อันทรงคุณค่ามีความหมาย (Meaningful Travel) และมุ่งสู่ความยั่งยืนให้กับนักท่องเที่ยวมากขึ้น พร้อมนำนโยบายวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ Soft Power ในเรื่องของ Food อาหารท้องถิ่น และ Festival การจัดงานเทศกาล มาผนวกรวมกัน โดยจับมือกับพันธมิตร อาทิ Greatter Good Trawell WISHULADA GoGreen booking และ Muvmi ร่วมค้นหาสืบสานอัตลักษณ์ชุมชนท่าเตียน ผ่านการกระบวนการพัฒนาสร้างตราสินค้าในแหล่งท่องเที่ยว (Destination Branding) และจัดกิจกรรม Showcase ภายใต้งาน Tha Tien Fest : ท่าเตียนเฟส เพื่อเป็นต้นแบบในการสืบค้นอัตลักษณ์ และหาความเห็นไปได้ในการสนับสนุนธุรกิจด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เชื่อมโยงสู่การพัฒนาบริบทพื้นที่ต้นแบบสู่แหล่งท่องเที่ยว พร้อมสร้างความตระหนักด้านการสร้างตราสินค้าแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทย สร้างและรักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมของแหล่งท่องเที่ยวให้คงอยู่


        โครงการจึงได้เลือกชุนชนท่าเตียนเป็นพื้นที่ในการศึกษาและจัดงาน ซึ่งเป็นชุมชนที่มีอัตลักษณ์ทางภูมิทัศน์ วัฒนธรรม โดดเด่นทางสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล ประกอบกับพื้นที่เป็นย่านชุมชนเมืองเก่าแก่ในเขตพระนคร ใกล้กับแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญ เช่น พระบรมมหาราชวัง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม จึงเป็นโอกาสสำคัญในการศึกษาพัฒนาให้มีความโดดเด่นทางการสื่อสาร เพื่อนำมาส่งเสริมและต่อยอดทางการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เดินทางมาเยี่ยมชมและสัมผัสประสบการณ์ นำเสนอผ่าน 3 แนวคิดสำคัญ ด้วยคำว่า "คิดถึง สืบสาน และเสน่ห์" ประกอบด้วย "คิดถึง" หมายถึงการสะท้อนวัฒนธรรมและชีวิตดั้งเดิมที่หาได้ยาก ชวนให้คิดถึงวันวานของย่านเศรษฐกิจเก่าแก่ "สืบสาน" หมายถึงความงดงามของวัฒนธรรม วิถีชีวิต การสืบสานเรื่องเล่าที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และ "เสน่ห์" หมายถึงความผสมผสานที่แตกต่างด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว สามารถสะท้อนถึงเสน่ห์กลิ่นอายความเป็นไทย จีน ญวน มอญ และตะวันตก ซึ่งจากแนวคิดดังกล่าวจึงถูกหล่อหลอมเป็นความหลากหลายที่ลงตัว ด้วยการผสมผสานของพหุวัฒนธรรม แลกเปลี่ยนแนวคิด ค่านิยม และศิลปะที่มีอยู่ ในทุกจุดของย่านชุมชนท่าเตียน


        โดยผู้เข้ามาร่วมงานจะได้สัมผัสกับประสบการณ์อย่างใกล้ชิด ด้วยกิจกรรม Tha Tien Fest Grand Opening Event เปิดตัวตราสินค้าในแหล่งท่องเที่ยวชุมชนท่าเตียน และ Tha Tien Exhibition ผ่านการนำเสนอเรื่องราวชุมชนด้วยการเล่าเรื่องผ่านรูปภาพ บูธจัดแสดงวัฒธรรมด้านอาหารและสินค้าของชุมชน      Tha Tien Fest - Food & Shop จำนวนมากกว่า 20 ร้านค้า ที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ จากการศึกษา Brand Identity อัตลักษณ์ของชุมชนอย่างแท้จริง ซึ่งได้มีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ผ่านทั้งสื่อออฟไลน์และออนไลน์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง


          นอกจากนี้ ภายในงานมุ่งให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ โดยออกแบบและสร้างสรรค์เส้นทางการท่องเที่ยว Low Carbon Walking Route จำนวน 3 เส้นทาง คือ Cultural walking route, Foodie walking route และ Mutelu walking route

พร้อมกันนี้ได้สร้างสรรค์และจัดแสดงผลงานศิลปะจากขยะในแหล่งท่องเที่ยว (Trash Art Installation) ภายใต้แนวคิด Tha Tien Royal Tile Cladding Bench Installation Art หรือ กาบกระเบื้องแห่งรากฐานท่าเตียน ซึ่งถือเป็นจุดไฮไลท์สำคัญภายในงาน โดยสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากวัสดุรีไซเคิลที่มาจากขยะในชุมชนโดยแบรนด์ WISHULADA ศิลปินผู้เปลี่ยนขยะเป็นงานศิลป์ เพื่อเป็นการสื่อสารสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับ     การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวอันทรงคุณค่าและมีความหมาย ในการร่วมกันขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ นำไปสู่ความยั่งยืนในทุกมิติของการพัฒนา


       ทั้งนี้ ททท. คาดว่า การสร้างสรรค์อัตลักษณ์ชุมชนผ่านการสื่อสารตราสินค้าในแหล่งท่องเที่ยว ด้วยการจัดงาน "Tha Tien Fest : ท่าเตียนเฟส" จะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเกิดการเดินทางท่องเที่ยว กระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน และสร้างรายได้หมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงของการจัดงานได้เป็นอย่างดี



        ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงาน Tha Tien Fest : ท่าเตียนเฟส โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2566 เวลา 15.00 - 18.00 น. ณ ลานอัฒจันทร์กลางแจ้ง มิวเซียมสยาม และชุมชนท่าเตียน กรุงเทพมหานคร โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.thatienfest.com และ Facebook Page : ThaTienFest 



มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต ร่วมกับกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับสตรีที่ด้อยโอกาส

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต ร่วมกับกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับสตรีที่ด้อยโอกาส  ในโครงการส่งเสริ...