วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2565

"มูลนิธิรักษ์ไทย" จับมือภาคีเครือข่ายจัดสัมมนาทำความเข้าใจประมวลกฎหมายยาเสพติด 2564-ลดอันตรายจากสารเสพติด

"มูลนิธิรักษ์ไทย" จับมือภาคีเครือข่ายจัดสัมมนาทำความเข้าใจประมวลกฎหมายยาเสพติด 2564-ลดอันตรายจากสารเสพติด

       สืบเนื่องจากวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี ถือเป็นวันยาเสพติดโลกที่นานาประเทศรวมถึงประเทศไทยได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการรณรงค์ให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งที่ทางรัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยการประกาศใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ได้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินงานทางด้านยาเสพติดในประเทศไทย ตามอำนาจของประมวลกฎหมายได้ระบุให้กระทรวงสาธารณสุข โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้นำในการบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติด รวมถึงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามบทบาทหน้าที่ที่รับผิดชอบในการดูแลจัดการผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ของประเทศ 

 
           ทางมูลนิธิรักษ์ไทย จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายโครงการยุติปัญหาวัณโรคและโรคเอดส์ด้วยชุดบริการ RRTTPR 2021-23 ในกลุ่มประชากรผู้ใช้สารเสพติดด้วยวิธีฉีด(PWID) จัดประชุมสัมมนาเนื่องในวันยาเสพติดโลกประจำปี พ.ศ. 2565 เรื่อง "ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 และการลดอันตรายจากสารเสพติด" ที่ห้องวายุภักษ์ 6 ชั้น 5 โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 29-30 มิถุนายน 2565

       โดยในวันแรก วันที่ 29 มิถุนายน 2565 นายพร้อมบุญ พานิชภักดิ์ เลขาธิการมูลนิธิรักษ์ไทย กล่าวรายงาน จากนั้นนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุมและปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ความสำคัญในการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 และการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน"

     ต่อด้วยเวทีเสวนา "ทิศทางและการเปลี่ยนแปลงตามบทบาทหน้าที่ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564" ส่วนในช่วงบ่ายเป็นการบรรยายร่าง พรบ.บำบัดฟื้นฟู คุ้มครองดูแล และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ใช้ยาเสพติด พ.ศ.... โดย น.ส.สุภัทรา นาคะผิว และการบรรยายพิเศษหัวข้อ "นานาชาติกับทิศทางการแก้ไขปัญหายาเสพติด" จาก Mr. Zin Ko Ko Lynn เจ้าหน้าที่โครงการยา และสุขภาพระดับภูมิภาค สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC)

และต่อด้วยการแบ่งห้องย่อย โดยห้องที่ 1 การลดอันตรายภายใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 โดยนายอุกฤษฎ์ ศรพรหม / ห้องที่ 2 การแก้ไขปัญหาเพื่อลดการตีตราผู้ใช้ยาเสพติดภายใต้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 โดยนายสมชาย หอมละออ นักกฎหมายสิทธิมนุษยชน / ห้องที่ 3 ภาคประชาสังคมในกลไกการลดอันตรายจากยาเสพติดตามกระบวนการบำบัดฟื้นฟูฯ ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 โดยนายแพทย์ชลอวัฒน์ อินปา ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข

     สำหรับในวันที่ 30 มิถุนายน 2565 เป็นเวทีเสวนา "แนวทางการมีส่วนร่วมเพื่อการขยายผลการดำเนินงานการลดอันตรายโดยภาครัฐ ภาคประชาสังคม และชุมชน" โดยมี ผศ.ดร.ปรีชญาณ์ นักฟ้อน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, นายอำนาจ เหล่ากอที ผู้อำนวยการกองกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามยาเสพติด, นายแพทย์สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันบำบัดและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดบรมราชนนี, นางสากีนะฮ์ สุวรรณ์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา, นายศักดิ์ดา เผือกชาย ประธานเครือข่ายผู้ใช้ยาประเทศไทย (TDN), ซูฮายนงค์ สมาเฮาะ ผู้จัดการกลุ่มคนทำงานผู้ใช้สารเสพติดจังหวัดสงขลา (CTS) จ.สงขลา, นฤมล คะเนรัตน์ ผู้ประสานงานกลุ่มส่งเสริมการเข้าถึงการสนับสนุนด้านสุขภาพ และสังคม (APASS) และศิริวรรณ พันธ์ดี เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิรักษ์ไทย เป็นผู้ร่วมเสวนา

          นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมาได้มีการประกาศราชกิจจานุเบกษา พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2564 ถือเป็นเรื่องสำคัญต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศไทย โดยเฉพาะการดูแลผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ได้กำหนดในภาค 2 การบำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพทางสังคมแก่ผู้ติดยาเสพติด โดยใช้หลักการ "ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย" นำโดยกระทรวงสาธารณสุขในการให้บริการด้านบำบัด ฟื้นฟู ติดตาม และการให้บริการด้านสุขภาพ รวมถึงการให้บริการการลดอันตรายจากการใช้ยาถูกระบุไว้ในด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 จะไม่เกิดความสำเร็จตามเจตจำนงค์ของการประกาศใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 หากขาดการบูรณาการ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง รวมถึงการนำวิธีการจัดการรูปแบบใหม่ เช่น การลดอันตรายจากยาเสพติด มาใช้อย่างแท้จริง ตามแนวทางที่รัฐบาลไทยได้แสดงเจตจำนงต่อสาธารณะในเวทีนานาชาติ

           ด้านนายพร้อมบุญ พานิชภักดิ์ เลขาธิการมูลนิรักษไทย กล่าวว่า จากรายงานโครงการยุติปัญหาวัณโรค และเอดส์ด้วยชุดบริการ RRTTPR (Stop TB and AIDS through RTTPR year 2021-2023 : STAR 2021-2023) ในกลุ่มประชากรผู้ใช้สารเสพติดด้วยวิธีฉีด (PWID) ด้วยการสนับสนุนของกองทุนโลก (Global Fund) เป็นโครงการที่ดำเนินงานสอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560-2573 ว่าด้วยการจัดชุดบริการ (Reach-Recruit-Test-Test-Prevention-Retain เข้าถึง-เข้าสู่บริการ-คัดกรอง-รักษา-ป้องกัน-คงอยู่ในระบบ) โดยใช้แนวทางการลดอันตรายจากการใช้สารเสพติด (Harm Reduction) เพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวี และการเสียชีวิตที่มีสาเหตุจากการใช้สารเสพติดด้วยวิธีฉีด ดำเนินงานโดยองค์กรภาคี 10 องค์กร ที่ทำงานตรงในการเข้าถึง และให้บริการกับผู้ใช้สารเสพติดใน 20 จังหวัดของประเทศไทย และองค์กรที่ให้บริการด้านสุขภาพ รวมถึงองค์กรที่ทำด้านด้านสิทธิมนุษยชน โดยมีเป้าหมายการเข้าถึงผู้ใช้สารเสพติดด้วยวิธีฉีดในปี พ.ศ. 2565 จำนวน 22,350 ราย โดยผลการดำเนิงานระหว่างเดือนมกราคม 2564- มีนาคม 2565 สามารถเข้าถึงผู้ใช้สารเสพติดด้วยวิธีฉีดในพื้นที่ 20 จังหวัดทั้งสิ้น 18,447 คน

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2565

สวพส. เตรียมจัดทำหลักสูตร “นักพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนแบบโครงการหลวง” มุ่งสร้างความรู้และความเข้าใจในหลักและวิธีการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนแบบโครงการหลวง

สวพส. เตรียมจัดทำหลักสูตร “นักพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนแบบโครงการหลวง” มุ่งสร้างความรู้และความเข้าใจในหลักและวิธีการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนแบบโครงการหลวง

          จากเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาพื้นที่สูงของ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง  (สวพสใจ.) คือ “ชุมชนบนพื้นที่สูงมีความอยู่ดีมีสุข ด้วยการวิจัยและพัฒนา สืบสาน รักษา ต่อยอดงานโครงการหลวง ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” โดยเน้นการพัฒนาบนฐานความรู้ เพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพที่ตรงตามปัญหา ความต้องการ และภูมิสังคมของชุมชนภายใต้การมีส่วนร่วมของประชาชนและการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ตาม

เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ สวพส. ได้เตรียมจัดทำหลักสูตร “นักพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนแบบโครงการหลวง” เพื่อให้ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องแก่บุคลากรภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานบูรณาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และผู้นำชุมชนบนพื้นที่สูง ที่เป็นกำลังในการขับเคลื่อนงานพัฒนาชุมชน ก่อให้เกิดเป็นกระบวนการวางแผนการพัฒนาชุมชนที่มีคุณภาพ ควบคู่กับการใช้แผนที่ดินรายแปลงมาใช้วิเคราะห์ข้อมูล ปัญหา เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนถูกต้องตรงกัน โดยจะนำไปสู่การวางแผนการพัฒนาที่เป็นระบบฐานข้อมูลของความรู้ และข้อมูลร่วมกันกับหน่วยงานทุกภาคส่วน 

          นายวิรัตน์ ปราบทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง  (สวพส.) กล่าวว่า  รูปแบบการพัฒนาพื้นที่สูงได้ยึดตามแนวทางโครงการหลวง  เน้นการบรรลุผลสัมฤทธิ์ร่วมกันของหน่วยงานในรูปแบบบูรณาการตามบทบาทและภารกิจเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาเชิงพื้นที่ และความต้องการของคนในชุมชนเป็นศูนย์กลาง ตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) มีกลไกการสนับสนุนเพื่อให้เกิดการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมของหน่วยงานเครือข่าย 33 หน่วยงาน ทั้งในระดับ พื้นที่ จังหวัด และส่วนกลาง 

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดในการขยายแนวทางตามแบบโครงการหลวงและการพัฒนาพื้นที่สูงในหลาย ๆ ประเทศ อาทิ ประเทศเมียนมา, ภูฎาน โดยประเทศเหล่านี้ สามารถนำแบบอย่างของความสำเร็จด้วยองค์ความรู้โครงการหรือนำ “นักพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนแบบโครงการหลวง” ที่ สวพส. กำลังจัดทำไปปรับใช้ เนื่องจากกระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ถูกกลั่นกรอง สัมฤทธิ์ผลมาแล้วหลายโครงการ และหลักสูตรยังสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิตผ่านระบบออนไลน์ในลักษณะของการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อสร้างขีดความสามารถร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานบูรณาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และผู้นำชุมชนบนพื้นที่สูง

          นายเมธี พยอมยงค์ ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง กล่าวถึง หลักสูตร“นักพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนแบบโครงการหลวง” เพิ่มเติมว่า หลักสูตรนี้นอกจากจะช่วยเสริมสร้างให้บุคลากรภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานบูรณาการ ผู้นำชุมชนบนพื้นที่สูง และบุคลากรของ สวพส. เข้าใจในหลักและวิธีการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงอย่างลึกซึ้งแล้ว ยังสามารถนำไปบูรณาการกิจกรรมการพัฒนาให้สอดคล้องกันอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลตามเป้าหมาย

         รวมทั้งจะได้แลกเปลี่ยนยเรียนรู้และมีเครือข่ายในการทำงานร่วมกัน เนื้อหาวิชาจะประกอบด้วย การขับเคลื่อนการพัฒนาด้วยองค์ความรู้ นวัตกรรมและผลงานวิจัย การพัฒนาอาชีพภายใต้ระบบเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเกษตรมูลค่าสูง  การบริหารจัดการตลาดสินค้าเกษตรบนพื้นที่สูงด้วยสถาบันเกษตรกร การอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบนพื้นที่สูง การบริหารจัดการน้ำบนพื้นที่สูง การวิเคราะห์และวางแผนการพัฒนาชุมชน ตลอดจนการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนในการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่สูง 

         รูปแบบการฝึกอบรมจะไม่เน้นการบรรยายในห้อง แต่จะเป็นการเรียนรู้จากพื้นที่ตัวอย่างความสำเร็จของการพัฒนาด้านต่างๆ ของโครงการหลวงและโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงในพื้นที่ อาทิ การใช้แผนชุมชนและแผนที่การใช้ประโยชน์ที่ดินรายแปลงเป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจ กำหนดแนวทางและกิจกรรมการพัฒนา การปลูกพืชที่ให้ผลตอบแทนต่อไร่สูง การพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก การใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และการสนับสนุนอาชีพนอกภาคเกษตร เป็นต้น ทั้งนี้จะมีการถ่ายทอดสัญญาณภาพและเสียงไปดูและพูดคุยกับเกษตรกรในพื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่สูงอื่นที่มีบริบทและวิธีการแก้ไขปัญหาของพื้นที่อีกด้วย 

             สำหรับวิทยากรของหลักสูตรจะเป็นบุคลากรจาก สวพส. ทั้งผู้บริหาร ผู้ที่รับผิดชอบโดยตรง หัวหน้ากลุ่มลุ่มน้ำ นักวิชาการเฉพาะด้าน ตลอดจนเกษตรกรผู้นำ โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการรุ่นแรกในเดือนสิงหาคม 2565 ใช้เวลาอบรมรุ่นละ 5 วัน ซึ่งวันแรกจะเป็นการปูพื้นฐานเกี่ยวกับแนวคิด พัฒนาการ รูปแบบการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนแบบโครงการหลวง กับการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่สูง จากนั้นจะเป็นการลงพื้นที่ดำเนินงาน ของ สวพส. เพื่อรับทราบบริบทและการทำงานจริง การบูรณาการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและความเอาจริงเอาจังของเกษตรกรจนสามารถแก้ไขปัญหาของพื้นที่สูงของตนเองได้จริง ในระหว่างการลงพื้นที่จะมีการแบ่งกลุ่มให้ผู้รับการอบรมได้ศึกษา วิเคราะห์และจัดทำข้อเสนอแนะแนวทางการประยุกต์ใช้รูปแบบการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืนแบบโครงการหลวงเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขข้อจำกัดต่างๆ ของพื้นที่สูงในมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีอีกด้วย 



ททท. ส่งความสุขผ่านบทเพลงกับมหกรรมดนตรีบนชายหาด ROCK ON THE BEACH MUSIC FESTIVAL ปลุกกระแสการท่องเที่ยวในประเทศ พลิกฟื้นเศรษฐกิจ ดันรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก

ททท. ส่งความสุขผ่านบทเพลงกับมหกรรมดนตรีบนชายหาด ROCK ON THE BEACH MUSIC FESTIVAL 

ปลุกกระแสการท่องเที่ยวในประเทศ พลิกฟื้นเศรษฐกิจ ดันรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก


                   ดร.นาที รัชกิจประการ ประธานคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ และนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมเป็นประธานในการ เปิดงาน ROCK ON THE BEACH MUSIC FESTIVAL จังหวัดกระบี่ ภายใต้โครงการ Thailand Festival Experience ณ พอร์ต ตะโกลา ยอร์ช มารีน่า จังหวัดกระบี่ เพื่อปลุกกระแสการท่องเที่ยวในประเทศ พลิกฟื้น เศรษฐกิจ ดันรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2565 คาดว่ามีนักท่องเท่ียวทั้งชาวไทยและต่างชาติร่วมงานไม่น้อยกว่า 15,000 คน

            งานมหกรรมดนตรีบนชายหาด ROCK ON THE BEACH MUSIC FESTIVAL จังหวัดกระบี่ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 - 26 มิถุนายน 2565 เวลา 15.00 – 22.00 น. ณ พอร์ต ตะโกลา ยอร์ช มารีน่า จังหวัดกระบี่ ภายในงานพบกับการแสดงคอนเสิร์ตริมชายหาด จากศิลปินช่ือดัง ได้แก่ วง ETC. TWOPEE และ เบน ชลาทิศ และไฮไลท์สุดพิเศษ การแสดงโดรนโชว์ของภาคใต้ ภายใต้คอนเซป “The highlight of Andaman” นำเสนอความสวยงามของทะเลอันดามันด้วยโชว์สุดประทับใจ ครั้งแรกกับการเปิดตัวสถานที่จัดงาน พอร์ต ตะโกลา ยอร์ช มารีน่า และสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษกับการนั่งเรือ หางยาวแบบ Luxury

นอกจากนี้ ยังมีการแสดงท้องถิ่น ได้แก่ รำรองเง็ง รำมโนราห์ ลิเกป่า และการแสดงโชว์ร่วมสมัย ได้แก่ ชุดการแสดงกระบี่ยินดีต้อนรับ ภูมิใจใต้ เบิกฟ้ากระบี่อันดามัน ก่อนชอปปิงภายในงานมีการจำหน่าย ผลิตภัณฑ์จากชุมชนท่องเที่ยว อาทิ ของฝากสุสานหอยจากชุมชนบ้านแหลมโพธ์ิ ผลิตภัณฑ์น้าผึ้งเรินบะเร่ินมะ จากชุมชนบ้านคลองกา ตาบลคลองประสงค์ เป็นต้น พร้อมลิ้มชิมรสอาหารท้องถิ่นและอาหารชื่อดังของจังหวัด กระบี่ที่ยกขบวนความอร่อยมาให้บริการที่โซนจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม อาทิ จ๊ะน๊ะยาแซ่บ โรตีจะฉิว เป็ดย่างสมิธ เครื่องดื่มจาก Cafe' 8.98 เป็นต้น


                  ททท. เชื่อมั่นว่าการจัดงานครั้งนี้จะเป็นเครื่องมือ หนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ กระจายรายได้สู่ เศรษฐกิจฐานราก ตลอดจนส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการท่องเท่ียวที่ดีให้กับจังหวัดกระบี่และพื้นที่ใกล้เคียง

#Rockonthebeach

#amazingthailand

#เที่ยวเมืองไทยamazingยิ่งกว่าเดิม.

"แอ่วเจียงฮาย สบายๆ สไตล์หน้าฝน” Wow Chiang Rai in Green Season

"แอ่วเจียงฮาย สบายๆ สไตล์หน้าฝน” 

Wow Chiang Rai in Green Season

                การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย  ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวทุกท่านมาแอ่วเชียงราย พร้อมกับรับสิทธิพิเศษสุด “ Wow “ภายใต้แคมเปญ “ Wow Chiang Rai” ในช่วง Green Season. รพหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2565 นี้ ท่านจะได้พบกับ :

                      Wow Blooming สีสันสดใส : ร่วมกิจกรรม Kick Off เปิดตัวแคมเปญ Wow Chiang Rai รับฟรีส่วนลด และสิทธิพิเศษจากบูทผู้ประกอบการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย พบกับกิจกรรมบนเวที ฟังเพลงเพราะๆ  พร้อมลุ้นรางวัล และของที่ระลึก จาก ททท.  ระหว่างวันที่ 1-3 กรกฎาคม 2565 เวลา 10.00-21.00 น. ณ  ชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย  

                 Wow Shopping : ร่วมกิจกรรม Wow Tourist Privilege โดยเซ็นทรัลเชียงราย  รับส่วนลดพิเศษจากร้านค้าชั้นนำภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย และห้างสรรพสินค้าโรบินสัน มูลค่ากว่า 3,000 บาท ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account : @Centralchiangrai หรือคลิก : https://lin.ee/zgRRX6K       

                Wow สบายกระเป๋า  : รับทันที ส่วนลด 10-50 % และสิทธิพิเศษอื่นๆ มากมาย เพียงท่านสแกน QR Code รับสิทธิได้ ณ สถานประกอบการท่องเที่ยวที่ร่วมกิจกรรมกว่า 100 ราย ในช่วงระหว่างวันที่ 1 กรกฏาคม.- 30 กันยายน 2565 

                   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานเชียงราย โทร. 053-717433 , 053-744674, Facebook : ททท.สำนักงานเชียงราย-พะเยา, www.tourismchiangrai-phayao.com 

#ททท.เชียงราย

ททท. ประชุมบูรณาการความร่วมมืออด้านการท่องเที่ยวกับ กทม.

ททท. ประชุมบูรณาการความร่วมมืออด้านการท่องเที่ยวกับ กทม.

                     กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นำโดยนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ททท. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ประชุมบูรณาการความร่วมมืออด้านการท่องเที่ยวกับกรุงทพมหานคร (กทม.) นำโดย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร กทม.เพื่อต่อยอดความสำเร็จมาตรการเปิดเมือง Bangkok Sandbox ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2564 และพร้อมรับนักท่องเที่ยว แบบ Fully Relax ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ รวมมาถึงความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยวตามนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาด้วยแนวคิด “กรุงเทพฯ-เมืองเศรษฐกิจสร้างสรรค์” เช่น การผลักดันย่านเมืองเก่า ย่านบางลำพู ย่านบางรัก ย่านนางเลิ้ง การพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยว ในมิติต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การท่องเที่ยวทางน้ำ (เมืองเวนิสตะวันออก) และการผลักดันการท่องเที่ยวยามค่ำคืน (Night Tour & Night Life) ตามนโยบายของ ท่านรัรฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ควบคู่กันด้วย เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2565 

              นอกจากนั้นแล้ว ททท. และ กทม. ยังเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯ ด้วยการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมบรรยากาศการท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯ ตามแนวคิด “12 เดือน-12 กิจกรรม สีสันเมืองบางกอก” โดยการส่งเสริมกิจกรรมในพื้นที่สาธารณะด้วยอัตลักษณ์ ศิลปะและดนตรี เช่น การจัดฉายหนังกลางแปลงนานาชาติ กิจกรรมดนตรีในสวน การจัดกิจกรรมวิ่งตามเส้นทางคลองที่มีศักยภาพของ กทม. เช่น คลองบางลำพู คลองแสนแสบ คลองสมคิด เป็นต้น

           ทั้งนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบแนวทางการสื่อสารการตลาดเมืองกรุงเทพฯ โดยการกำหนดภาพลักษณ์ (Branding) กรุงเทพฯ เพื่อการจัดทำชุดข้อมูล (Content) เพื่อการสื่อสารการตลาดสู่กลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มุ่งเน้นการสื่อสาร “Ease of Travelling” ทั้งเห็นชอบการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อบูรณาการความร่วมมือขับเคลื่อนการท่องเที่ยว กทม. ร่วมกันต่อไป

#การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

#กรุงเทพมหานคร

#AmazingThailand

#เที่ยวเมืองไทยAmazingยิ่งกว่าเดิม.

จังหวัดแพร่ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม จัดงานมหามงคลครั้งใหญ่ ในรอบ 100 ปี "งานบุญใหญ่สมโภชพระธาตุช่อแฮ" พร้อม "งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ 17 จังหวัดภาคเหนือ"

จังหวัดแพร่ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม จัดงานมหามงคลครั้งใหญ่ ในรอบ 100 ปี "งานบุญใหญ่สมโภชพระธาตุช่อแฮ" พร้อม "งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ 17 จังหวัดภาคเหนือ"

                 หยุดยาวเดือนกรกฎาคมนี้ จังหวัดแพร่จัดงานมหกรรมวันวัฒนธรรมแห่งชาติ "วิถีถิ่น วิถีไทย เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ม่วนอ๊ก ม่วนใจ เที่ยวเมืองเหนืองามเหลือชาติพันธุ์ นมัสการพระธาตุช่อแฮ” ระหว่างวันที่ 24-27 กรกฎาคม 2565 

                โดยจะเป็นการผนวก "งานสมโภชองค์พระธาตุช่อแฮ" หลังจากบูรณะเสร็จ ร่วมกับ "งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งขาติ 17 จังหวัดภาคเหนือ" ในช่วงเวลาเดียวกัน

           โดยภายในงานจะมีกิจกรรมที่น่าสนใจมหรสพหลากหลายในช่วงการจัดงาน อาทิ

-การจัดขบวนแห่รวมพลคนปีขาลนมัสการพระธาตุช่อแฮ

- การแสดงศิลปะวัฒนธรรมจากกลุ่มจังหวัดภาคเหนือทั้ง 17 จังหวัด

- การแสดงฟ้อนสมโภชน์ 1,500 คน

- การออกร้านจำหน่ายสินค้าจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ

- ชมขบวนแห่ ตุงและของดีจากทั้ง 8 อำเภอ

- กิจกรรมสืบงานศิลป์ถิ่นเมืองแพร่

- กิจกรรมวิ่ง มาราธอน

- การแข่งขันวู้ดบอล

#มาแอ่วเมืองแป้กั๋นเน้อครับ

ททท. เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา ชุด “Write Your New Chapter” ชวนออกแบบประสบการณ์ท่องเที่ยว มิติใหม่ ด้วยตัวคุณเอง

ททท. เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา ชุด “Write Your New Chapter” 

ชวนออกแบบประสบการณ์ท่องเที่ยว มิติใหม่

ด้วยตัวคุณเอง

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ลุยพลิกโฉมปีท่องเที่ยวไทย เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา ชุด “Write Your New Chapter” ชวนสร้างสรรค์ประสบการณ์ท่องเที่ยวไทยมิติใหม่ด้วยตัวคุณเอง ภายใต้กรอบแนวคิด “Visit Thailand Year 2022 – 2023 : Amazing New Chapters” ต่อยอด SOFT POWER 6F : 4นำเสนอคุณค่าการท่องเที่ยวผ่าน Cinematic Theme ใน 3 Chapters ได้แก่ Nature, Love และ Experience ตลอดจนส่งเสริมภาพลักษณ์และยกระดับสู่การเป็น World Class Destination มุ่งกระตุ้นการเดินทางจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก

นายยุทธศักดิ์  สุภสร ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า ททท. ขานรับนโยบายพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทย ปี 2565 ตั้งเป้าให้เกิด Greatest Change ด้วย Soft Power of Thailand ตามแนวคิด  6F : 4ประกอบด้วย Food Fashion Film Festival Fight  Friendship และ Music Museum Master Meta เพื่อเพิ่มสัดส่วนนักท่องเที่ยวคุณภาพ และนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง พร้อมสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง นำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้เปลี่ยนแปลงบนพื้นฐานของการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและดิจิทัล โดยกำหนดแคมเปญสื่อสารการตลาด “Visit Thailand Year 2022 – 2023 : Amazing New Chapters” นำเสนอความพิเศษในการท่องเที่ยวผ่านเมนูประสบการณ์ที่มีคุณค่าเหนือราคา From A to Z Amazing Thailand Has it All ชูอัตลักษณ์ของประเทศไทย (Thai Cultural Values) เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกให้ออกเดินทางมาสัมผัส แสวงหาประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่น่าประทับใจมากกว่าที่เคย รวมถึงยกระดับภาพลักษณ์ประเทศไทย สู่การเป็น World Class Destination


                สืบเนื่องจากการขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power นั้น FILM ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สำคัญ สะท้อนศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยทั้งในเรื่องการบริการของสถานที่ถ่ายทำที่มีความหลากหลาย สามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศได้อย่างมหาศาล ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์วัฒนธรรม วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของคนไทยสู่สายตาชาวโลก ซึ่งที่ผ่านมามีภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากมายที่เดินทางเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย อาทิ ภาพยนตร์เรื่อง เจมส์ บอนด์ 007 ตอน เพชฌฆาตปืนทอง” (The Man with the Golden Gun) ในปี 2517 ถ่ายทำบริเวณเขาตะปู จ.พังงา ภาพยนตร์เรื่อง Lost in Thailand ปี 2555 ถ่ายทำในจังหวัดเชียงใหม่ ภาพยนตร์เรื่อง The Beach นำแสดงโดยลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ ถ่ายทำที่อ่าวมาหยา บนเกาะพีพีเล จังหวัดกระบี่ เป็นต้น ซึ่งสร้างการรับรู้ถึงความสวยงามให้กับผู้ชมทั่วโลก

จากการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมและเทรนด์การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ พบว่าในช่วงที่ผ่านมาภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ช่องทาง Online VDO Services มีอัตราเติบโตของผู้ติดตามกว่าร้อยละ 26 ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นจนถึง 1,100 ล้านคนทั่วโลก สะท้อนพฤติกรรมของคนในยุคดิจิทัลที่ให้ความสำคัญกับการรับ-ส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ททท. จึงเล็งเห็นความสำคัญของการปรับใช้แนวทางเพื่อบอกเล่าและส่งต่อประสบการณ์ท่องเที่ยวมิติใหม่ในรูปแบบ Cinematic Theme เป็นภาพยนตร์โฆษณา ชุด “Write Your New Chapter” ความยาว 4 นาที ภายใต้การผลิตภาพยนตร์โฆษณาของบริษัท บีบีดีโอ กรุงเทพ และฝีมือกำกับของนายณัฐดนัย ป้อมบ้านต้า ผู้กำกับ บริษัท อันบอกซ์นาว จำกัด พาสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยว 3 Chapters ได้แก่ Amazing New Chapter of Nature ฉายภาพครอบครัวชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวทะเลไทย ก่อนพบเจอกับการกลับมาของธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจ Amazing New Chapter of Love พาติดตามความรักสุดคลาสสิกของวัยเก๋าในเส้นทางท่องเที่ยวสุดโรแมนติกของประเทศไทยที่จะช่วยเติมเต็มช่องว่างให้พร้อมสำหรับการเริ่มใหม่ได้เสมอ และ Amazing New Chapter of Self Discovery ชวนออกตามล่า ค้นหาตัวตนในรูปแบบภาพยนตร์ Sci-Fi ท่องโลก Metaverse ที่น่าค้นหาและสร้างแรงบันดาลใจไม่รู้จบ โดยทั้ง 3 Chapters นี้ จะช่วยสะท้อนเสน่ห์ของการท่องเที่ยวไทยในมุมมองที่หลากหลาย แปลกใหม่ สร้างแรงบันดาลใจ (Inspire) ให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาค้นหา (Explore) และ สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวมิติใหม่ (Experience) ที่น่าประทับใจ ผ่านการออกแบบเรื่องราว (Chapter) ในแบบฉบับของตัวเอง ตลอดจนแบ่งปันสู่ผู้คนทั่วโลก

ทั้งนี้ ททท. วางแผนที่จะนำเสนอภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้จะเผยแพร่ในต่างประเทศผ่านทางช่องทางสื่อออฟไลน์และออนไลน์ รวมถึงนำเสนอภาพยนตร์โฆษณาในรูปแบบอื่น ๆ เช่น สื่อ Out of Home ณ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ท่าอากาศยานในต่างประเทศ และช่องทางของ ททท. สำนักงานต่างประเทศ 29 แห่งทั่วโลก รวมถึงประกาศความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังประเทศไทยได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป โดย ททท.คำนึงถึงการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวคุณภาพที่พร้อมออกเดินทางและมีศักยภาพในการใช้จ่าย เช่น กลุ่มตะวันออกกลาง โดยเฉพาะซาอุดิอาราเบีย อิสราเอล และตลาดยุโรป เกาหลี ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่ง ททท. จะดำเนินงานส่งเสริมการตลาดควบคู่กับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อผลักดันยอดเป้าหมายตลาดต่างประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย อยู่ที่ 7 - 10 ล้านคน-ครั้ง และสร้างรายได้ 8 แสนล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้     

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต ร่วมกับกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับสตรีที่ด้อยโอกาส

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต ร่วมกับกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับสตรีที่ด้อยโอกาส  ในโครงการส่งเสริ...