วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2563

เที่ยวสานฝัน...ปันสุข...สุดสนุก จังหวัดพัทลุง-นครศรีธรรมราช ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA)

เที่ยวสานฝัน...ปันสุข...สุดสนุก จังหวัดพัทลุง-นครศรีธรรมราช 

ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA)

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยนางสาวฐาปนีย์  เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดโครงการ เที่ยวสานฝัน...ปันสุข...สุดสนุก จังหวัดพัทลุง-นครศรีธรรมราช” นำนักท่องเที่ยว 120 คน เดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดพัทลุงและนครศรีธรรมราช ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA) โดยมี พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี ผบก.ภ.จว.พัทลุง. พล.ต.ต. สนธิชัย อาวัฒนกุลเทพ ผบก. ภ.จว.นครศรีธรรมราช  และ พ.ต.อ.ชัชพิสิฐ นคราวงศ์ รอง ผบก.ภ.จว.พัทลุง นำเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่จังหวัดพัทลุง และจังหวัดนครศรีธรรมราช รวมทั้งตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจน้ำ มาอำนวยความสะดวกในด้านการจราจรระหว่างเดินทาง

                คณะของเรานัดพบกันที่สถานีรถไฟหัวลำโพงเวลาบ่าย โดยมีการตรวจวัดอุณหภูมิและฉีดแอลกอฮอล์ให้แก่นักท่องเที่ยวทุกท่านตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA)   และชี้แจงการท่องเที่ยวรูปแบบ New Normal เมื่อมาพร้อมกันแล้ว คุณยุพา ปานรอด ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรม ททท. ตัวแทนนางสาวฐาปนีย์  เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นประธานเปิดโครงการและกล่าวทักทายนักท่องเที่ยว

    จนถึงเวลา 14.45 น. พวกเราก็ขึ้นรถด่วนพิเศษทักษิณารัถย์ เป็นขบวนรถด่วนพิเศษของการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้บริการผู้โดยสารระหว่างสถานีรถไฟกรุงเทพ กรุงเทพมหานคร กับสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่จังหวัดสงขลา เป็นขบวนรถด่วนพิเศษสายใต้ โดยขบวนรถนี้ได้รับพระราชทานชื่อจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แล้วก็ได้เวลารถไฟออก เสียงหวูดรถไฟดัง ปรู๊น....ปรู๊น...ปรู๊น  ล้อเหล็กเลื่อนบดรางกระฉึกกระฉัก มุ่งหน้าสู่จังหวัดพัทลุง







เมื่อไปถึงจังหวัดพัทลุงเวลาเช้าตรู่ รถตู้ของศูนย์ประสานงานสื่อมวลชนเพื่อการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อมก็มารอพวกเราอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นพนักงานขับรถก็นำสเปรย์แอลกอฮอล์มาฉีดฆ่าเชื้อโรคที่กระเป๋าสัมภาระ และมาฉีดที่มือของนักท่องเที่ยวก่อนขึ้นรถ เมื่อพร้อมกันแล้ว พวกเราก็เดินทางไปรับประทานอาหารเช้ากันที่ร้านต้อม บักกุ๊ดเต๋ ลิ้มรสบักกุ๊ดเต๋ที่แสนอร่อย อาหารที่ขึ้นชื่อลือชาของที่นี่ หลังอิ่มหนำสำราญง พ.ต.อ.ชัชพิสิฐ นคราวงศ์ รอง ผบก.ภ.จว.พัทลุง ก็กล่าวต้อนรับ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ และร่วมเดินทางกับคณะตลอดทั้งทริป 









โดยเริ่มด้วยการเดินทางไปสักการะ พระสื่มุมเมือง” (พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ) เพื่อเป็นสิริมงคล พระสื่มุมเมืองเป็นพระพุทธรูปหล่อสัมฤทธิ์ปางสมาธิราบตามแบบศิลปะสุโขทัย หน้าตักกว้าง 49 นิ้ว ประดิษฐานอยู่ภายในมณฑปจัตุรมุข จัดสร้างขึ้นตามคติความเชื่อเรื่องพุทธไชยปราการเมื่อ พ.ศ. 2511 โดยได้นำต้นแบบมาจาก "พระพุทธนิรโรคันตราย" พระพุทธรูปประจำรัชกาลในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) อีกทั้งเมื่อพิจารณาความหมายของพระนามของพระพุทธรูป อันหมายถึง "การปราศจากซึ่งภยันตรายทั้งปวง"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเททองหล่อพระในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเททอง ณ กรมการรักษาดินแดน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2511 และได้โปรดเกล้าฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัดเข้ารับพระราชทานพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ ณ พระตำหนักจิตลดารโหฐานพระราชวังดุสิต เพื่อนำไปประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปประจำทิศทั้งสี่ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2511








จากนั้นเดินทางไป หาดแสนสุขลำปำ อ.เมือง สถานที่ท่องเที่ยวบริเวณชายฝั่งทะเลสาบสงขลาที่มีชื่อเสียง เมื่อไปถึง นายสานิตย์ เพชรกาศ รองนายกเทศมนตรีเมืองพัทลุงห้เกียรติมาต้อนรับ คณะนักท่องเที่ยว พร้อมแนะนำพื้นที่เกี่ยวกับสถานที่ หาดแสนสุขลำปำแห่งนี้ เป็นหาดทรายที่มีทิวสนร่มรื่น เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย มีศาลากลางน้ำชื่อ ศาลาลำปำที่รัก สำหรับชมทิวทัศน์บริเวณทะเลสาบ และจากบริเวณชายหาด มีสะพานเชื่อมไปยังเกาะลอย เมื่อเดินเข้าไปภายในเราจะเห็น หอโพนศรีไพศาล เป็นโพนมงคลหนึ่งในโพนมงคล 9 ลูกที่ทางเทศบาลเมืองพัทลุงได้จัดกิจกรรม ตีโพน 9 หอ” สร้างเอกลักษณ์เมืองแห่งโพน และจัดแสดงรูปปั้นโนราและภาพหนังตะลุง ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงที่มีชื่อเสียงของจังหวัดพัทลุง รวมทั้งรูปปั้นโลมาอิรวดี (โลมาหัวหมอน) สัตว์หายากและเป็นสัตว์คุ้มครอง พบเพียง 5  แห่งในโลก รวมถึงทะเลสาบสงขลาของไทย และทะเลสาบลำปำด้วย ที่นี่ไม่เพียงแต่จะมีธรรมชาติที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่ครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จมาประทับแรมอีกด้วย ปัจจุบันทางจังหวัดพัทลุงได้พัฒนาพื้นที่บริเวณนี้ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ จนกลายเป็นที่นิยมของนักทัศนาจรต่างถิ่น รวมไปถึงพี่น้องชาวเมืองพัทลุง













               ตามด้วยการชม วังเก่า-วังใหม่ อ.เมือง เป็นโบราณสถานสำคัญที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน โดยมี นายพงศ์เทพ ประทุมสุวรรณ นายอำเภอเมืองพัทลุง ให้เกียรติมาต้อนรับ สำหรับ วังเก่า” นั้นสร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในสมัยที่พระยาพัทลุง (น้อย จันทโรจวงศ์) เป็นเจ้าเมือง เคยเป็นวังเจ้าเมืองเก่า ที่มีความสวยงามโดดเด่น มีลักษณะเป็นเรือนไทยที่มีรูปแบบผสมผสานระหว่างภาคกลางกับภาคใต้ มีเรือนใหญ่ทรงไทยแฝดอยู่ตรงกลาง ส่วน วังใหม่” สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2432 โดยพระยาอภัยบริรักษ์จักราวิชิตพิพิธภักดี (เนตร จันทโรจวงศ์) บุตรชายของพระยาพัทลุง (นเจ้าเมืองในขณะนั้น) มีลักษณะเป็นกลุ่มเรือนไทย 5 หลัง แบ่งเป็นเรือนนอน และ เรือนครัว สามารถเดินชมด้านในได้ นอกจากนี้ บริเวณวังเจ้าเมืองฯ ยังมีศาลาไทยริมน้ำ และเรือนพัทลุง ซึ่งเป็นเรือเก่าแก่สมัยรัชกาลที่ 5 ให้ได้ชมกันด้วย กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน  








           ชมโบราณสถานจนพอใจ ก็เดินทางไปเรียนรู้การทำเกษตรกรที่ นาโปแก อ.ควนขนุน  โดยมี นายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดพัทลุง มาให้การต้อนรับ "นาโปแก" มาจาก ส่วนคำว่า "โปแก" สำเนียงปักษ์ใต้หรือภาคใต้มาจากคำว่า ปู่แก คือ ตา"ในภาษาไทย แต่สำเนียงของคนพัทลุงจะออกสำเนียงเป็น โปแก” หรือพ่อแก่นั่นเอง        เป็นศูนย์เรียนรู้แห่งใหม่ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเรียนรู้วิถีชาวนาเมืองพัทลุงแบบขนานแท้ ดื่มด่ำกับความเขียวขจีของท้องทุ่งนากว้างใหญ่ที่เป็นแปลงปลูกข้าวสาธิต ที่เต็มไปด้วยต้นข้าวหลายสายพันธุ์ เช่น ข้าวสังข์หยด ฯลฯ ชมการสาธิตการปลูกข้าว การสีข้าวแบบชาวบ้านรุ่นเก่า และชมวิถีชีวิตเด็กเลี้ยงวัว วิถีเกษตรดั้งเดิม ได้มาทำความรู้จักวิถีชีวิตของการทำนาอย่างแท้จริง โดยภายในนาโปแกแห่งนี้ยังมีมุมถ่ายภาพให้นักท่องเที่ยวได้เซลฟี่กันอีกมากมายหลายมุม ไปเดินชิลล์บนสะพานไม้ นั่งถ่ายรูปที่กระท่อมปลายนา ท่ามกลางความสดชื่นจากธรรมชาติ อบอวลด้วยกลิ่นอายท้องทุ่ง นอกจากนี้ยังมีโซนร้านกาแฟ  ร้านขายสินค้าการเกษตร และสินค้าพื้นเมืองที่ระลึกด้วย

















ต่อด้วย ศูนย์เรียนรู้หัตถกรรมกระจูดวรรณี อ.ควนขนุน ชมวิธีการผลิตกระเป๋า ตะกร้า เครื่องใช้ต่างๆ เช่น หมวก กระเป๋าถือรูปแบบต่างๆ จนเป็นสินค้าชุมชนจากกระจูด (กระจูดเป็นพืชตระกูลกก ที่มีคุณสมบัติสมบัติเหนียวนุ่มเมื่อนำมาตากแห้ง พับแล้วคืนตัวไม่ยู้ยี่ ไม่อมฝุ่น จึงนำมาจักสาน) นายมนัทพงศ์ เซ่งฮวด เจ้าของแบรนด์ หัตถกรรมกระจูดวรรณี บรยายให้ฟังว่า ศูนย์เรียนรู้นี้เกิดจากคุณวรรณี เซ่งฮวด เป็นผู้ก่อตั้ง ปัจจุบันมีตนเอง ซึ่งเป็นนักออกแบบรุ่นใหม่ ผู้สืบสานภูมิปัญญาจากคุณแม่ผู้เป็นครูช่างศิลปหัตถกรรมของศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศปี 2556 ได้เข้ามาช่วยดูแลเรื่องลวดลายการสานให้ดูทันสมัยขึ้น เพื่อยกระดับงานพื้นบ้านให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย แต่ยังคงรูปแบบการใช้งานแบบเดิมเอาไว้ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบงานสาน สามารถชมและซื้อได้ในราคาไม่แพงได้ที่นี่








แวะรับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารคู่หู  โดยมี นายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดพัทลุง ได้บรรยายให้ความรุ็ในเรื่องของแหล่งท่องเทียว หลังจากนั้น ดร.อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ กรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กรรมการผู้จัดการบริษัท Golden Discovery Express จำกัด เป็นผู้แทนคณะนักท่องเที่ยว มอบของที่ระลึกแก่ท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดพัทลุง นายพงศ์เทพ ประทุมสุวรรณ นายอำเภอเมืองพัทลุง และ พ.ต.อ.ชัชพิสิฐ นคราวงศ์ รอง ผบก.ภ.จว.พัทลุงก่อนเดินทางเข้า Siva Royal Hotel ที่พัก หลังเก็บสัมภาระ ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย 



 ก็เดินทางไป สวนเดอลอง อ.เมือง จุดเช็คอินใหม่ล่าสุดของจังหวัด ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะที่นี่เป็นสวนที่รวบรวมที่กิน ที่เที่ยว ของฝาก และมุมถ่ายภาพสวยๆ แถมมีที่จิบกาแฟ ด้วยสโลแกนที่ว่า จิบกาแฟแลเครื่องบิน เช็คอินนาขั้นบันได คล้องใจสะพานรัก รู้จักเกษตรแปรรูป  เริ่มกันตั้งแต่ที่ลงจากรถ ก็จะเจอกับป้ายสวนเดอลองที่ตั้งอยู่หน้าริมสระน้ำ ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก และเมื่อเดินเข้าไปในตัวอาคาร ก็จะเจอกับจุดเช็คอินอีกหลายจุดที่ตั้งไว้บริการนักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกันอย่างจุใจ และสิ่งที่โดดเด่นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวก็น่าจะเป็นสระน้ำที่สร้างไว้กลางสวน น้ำสีฟ้าครามดูแล้วสบายตา แถมมีสะพานสะพานรัก ข้าวสังข์หยด” ทอดข้ามสองฟากฝั่ง  โดยตรงกลางสะพานจะมีตะแกรงเหล็กไว้ให้คู่รักได้นำกุญแจมาล็อกไว้ พร้อมกับสลักชื่อไว้บนกุญแจ เชื่อว่าจะเป็นรักแท้ของกันและกัน ใครไปกับแฟนก็อย่าลืมชวนกันไปคล้องรักคล้องใจไว้ที่นี่กัน ถัดมาอีกที่หนึ่งจะเป็นนาจำลองแบบขั้นบันได และเมื่อขึ้นไปข้างบนก็จะมีเครื่องบิน สามารถเข้าไปนั่งบนเครื่องบินแอ็คชั่นถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก เดินกันเหนื่อยแล้วก็แวะจิบกาแฟที่ เดอลองคาเฟ่ กาแฟของที่นี่มีจุดเด่นที่แปลกกว่าที่อื่นคือเป็นกาแฟที่บดผสมผสานกับข้าวสังข์หยด ซึ่งเป็นข้าวพื้นเมืองที่โด่งดังของจังหวัด ใครได้ชิมแล้วละก็รับรองว่าจะติดใจ และยังมีเมนูอื่นๆ ให้เลือกอีกมากมาย ก่อนกลับก็อย่าลืมซื้อของฝากติดกลับบ้านด้วย เพราะที่นี่จะมีของฝากขนมพื้นเมือง รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ โดยเฉพาะกาแฟเดอลองสังข์หยด






จิบกาแฟสบายอุราแล้ว ก็เดินทางไปห่มผ้าขึ้นพระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้ว ที่วัดพระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้ว (วัดเขียนบางแก้ว) อ.เขาชัยสน ตามประวัติว่า วัดเขียนบางแก้วเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดมีอายุกว่า 1,000 ปี สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย โดยนางเลือดขาวเป็นผู้สร้างวัดนี้ โดยได้จารึกเรื่องราวการก่อสร้างลงบนแผ่นทองคำที่เรียกว่า เพลาวัด กล่าวไว้ว่าวัดนี้สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 1492 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 1493 เจ้าพระยากุมารกับนางเลือดขาวได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากเกาะลังกามาบรรจุไว้ในพระมหาธาตุเจดีย์ หรือจากหลักฐานทางเอกสารบางอย่าง แสดงให้เห็นว่า วัดเขียนบางแก้วน่าจะเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา นักโบราณคดีกำหนดอายุจากรูปแบบสถาปัตยกรรมขององค์พระธาตุ และพบโบราณวัตถุสำคัญ ได้แก่ ศิวลึงค์และฐานโยนิ เป็นอารยธรรมอินเดีย ในราวพุทธศตวรรษที่ 12-14 และเป็นที่ตั้งชุมชนโบราณ หรือตามตำนานของพระครูสังฆรักษ์ (เพิ่ม) กล่าวว่า พระยากรุงทอง เจ้าเมืองพัทลุง เป็นผู้สร้างวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1482 (จ.ศ. 301) พร้อมกับสร้างพระมหาธาตุและก่อพระเชตุพนวิหาร ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาในปี พ.ศ. 1486   ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดพระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้ว” เมื่อ พ.ศ. 2561 เมื่อไปถึง พระสมุห์สดใส อินทรวังโส เจ้าอาวาสวัดเขียนบางแก้ว กล่าวต้อนรับคณะนักท่องเที่ยว พร้อมทั้งเป็นประธานรับถวายผ้าห่มพระธาตุ มอบวัตถุมงคล และนำคณะนักท่องเที่ยวร่วมห่มผ้าองค์พระธตุเจดีย์เขียนบางแก้ว และต้องขอขอบคุณ พ.ต.อ.พงศ์พสิษฐ์ ทองด้วง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ให้เกียรติมากล่าวต้อนรับ พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจมาอำนวยการจราจรในพื้นที่เขตรับผิดชอบทุกเส้นทาง




















ห่มผ้าองค์พระธาตุกันแล้ว ก็ได้เวลาอาหารเย็น มื้อนี้พวกเราแวะรับประทานอาหารกันที่ ลานนา เรสเตอรองท์  รับประทานอาหารดื่มด่ำกับททัศนียภาพท้องทุ่งนาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตามีเขาทะลุอาบแสงสีครามเป็นฉากหลังที่สวยงามดั่งต้องมนต์

         



               เช้ามืดของวันใหม่ พวกเราเดินทางไปที่ คลองปากประ แหล่งน้ำสำคัญของ อ.ควนขนุน ที่เกิดจากลำน้ำสายต่างๆ ไหลรวมมาบรรจบกัน ก่อนจะออกสู่ทะเลสาบสงขลา ที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งชุมนุมของปลาและเป็นแหล่งจับปลาที่สำคัญ โดยชาวบ้านได้ตั้งยอขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า ยอยักษ์ ที่มีที่เดียวในประเทศไทย ดักจับปลาเป็นจำนวนมาก จนเกิดเป็นทัศนียภาพที่แปลกตา เพื่อให้ได้บรรยากาศที่สวยงาม พวกเราต้องบังคับตัวเองให้ตื่นเช้ากันสักหน่อย เพื่อไปล่องเรือ โดยเรือจะออกตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพื่อไปให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้น พวกเราจะได้เห็นแสงแรกของวันพร้อมกับวิวยอยักษ์ที่คลองปากประที่เรียงรายสวยงามมีแสงแรกสีแดงของอาทิตย์เป็นฉากหลัง จนกลายเป็นภาพที่สวยงามดั่งต้องมนต์สะกด ซึ่งมีที่นี่ที่เดียวเท่านั้น ระหว่างทางที่ล่องเรือ เรือจะผ่านสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550















                     จากนั้นพานั่งรถชม และถ่ายภาพเซลฟี่กันบนสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 เป็นสะพานข้ามทะเลสาบความยาวเกือบ 6 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมการเดินทางระหว่าง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง และ อ.ระโนด จ.สงขลา ถือเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในประเทศไทย บนสะพานมีจุดชมวิวทะเลสาบ ซึ่งสามารถเห็นวิถีชีวิตควายน้ำ และนกนานาพันธุ์ จากความสวยงามและความสมบูรณ์ของท้องทะเลแห่งนี้ จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ รวมทั้งพวกเราเดินทางมาชมความสวยงาม ได้ชมแสงแรกของวันสัมผัสสายลมเย็นๆ ชมยอยักษ์ ชมดอกบัว และควายน้ำ


จากนั้นคณะนักท่องเที่ยวของเราก็อำลาจังหวัดพัทลุง เดินทางไปที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อร่วมห่มผ้าองค์พระบรมธาตุเจดีย์ โดยมีพระเทพวินยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารนำคณะนักท่องเที่ยวเดินแห่ผ้าขึ้นธาตุ วัดนี้ชาวบ้านเรียก “วัดพระธาตุ” เป็นโบราณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ภายในมี พระบรมธาตุเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า องค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นเจดีย์แบบทรงระฆังคว่ำ ที่ยอดเจดีย์หุ้มด้วยทองคำแท้ จากความเชื่อเล่าสืบตอบกันมาว่า องค์พระธาตุประกอบด้วยทองรูปพรรณและของมีค่ามากมายจรดปลายเจดีย์ ซึ่งสิ่งของมีค่าเหล่านี้พุทธศานิกชนนำมาถวายแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้ตนได้พบกับนิพพาน จากคำขวัญประจำจังหวัด “เมืองประวัติศาสตร์ พระธาตุทองคำ ชื่นฉ่ำธรรมชาติ แร่ธาตุอุดม เครื่องถมสามกษัตริย์ มากวัดมากศิลป์ ครบสิ้นกุ้งปู” ข้อความว่า พระธาตุทองคำ จึงหมายถึง ยอดเจดีย์ทองของพระบรมธาตุนั่นเอง

                                                                           


                        หลังห่มผ้าองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ก็ได้เวลารัประทานอาหารกลางวัน มื้อนี้คณะของเราทานกันที่ ร้านโกปี๊ คิวคูตอน อ.เมือง เป็นมื้อที่เรียหว่าอร่อยสุดยอด เพราะพวกเราได้ทานขนมจีนราดน้ำยา และแกงต่างๆ มีผักหลายชนิดเป็นเครื่องเคียง หลังทานเสร็จแล้ว นายสมชาย เสมมณี ท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้กล่าวต้อนรับคณะนักท่องเที่ยว และ พ.อ.หญิงกัลยาณี กัลยาณกุล เป็นผู้แทนคณะนักท่องเที่ยว มอบของที่ระลึกแก่ท่องเที่ยวและกีฬา จังหวัดนครศรีธรรมราช 



                จากนั้นก็เดินทางไปกราบไอ้ไข่ วัดเจดีย์ อ.สิชล วัดนี้เมื่อก่อนเป็นวัดที่รกร้างมาประมาณ 1,000 ปี แล้ว และได้รับการบูรณะใหม่เมื่อปี่ พ.ศ. 2500  ส่วนประวัติของ “ไอ้ไข่ วัดเจดีย์”  มีการเล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคนว่า สถานที่ตั้งวัดเจดีย์ปัจจุบันนั้นเมื่อก่อนได้มี หลวงปู่ทวด เกจิอาจารย์ดังใต้ได้มาปักกรด เดินธุดงค์อยู่บริเวณนั้น ส่วน “ไอ้ไข่” นั้นเชื่อว่าเป็นวิญญาณเด็กอายุประมาณ 9 –10 ขวบ เป็นลูกศิษย์ซึ่งติดตามหลวงปู่ทวด เมื่อหลวงปู่ทวดมาถึงสถานที่ดังกล่าวกลับพบว่ามีทรัพย์สมบัติ และศาสนสถานที่สำคัญเป็นจำนวนมาก จึงได้ให้ไอ้ไข่สิงสถิตเฝ้าทรัพย์สมบัติดั ณ ที่นี้ และหมู่บ้านนั้นภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “หมู่บ้านโพธิ์เสด็จ” จวบเท่าปัจจุบัน และเมื่อปี พ.ศ. 2526 พ่อท่านเทิ่ม เจ้าอาวาสวัดเจดีย์ในขณะนั้นได้จัดสร้างเหรียญบูชาไอ้ไข เป็นรุ่นแรก พร้อมกับพัฒนาวัดเรื่อยมา
       
 

               กราบขอพรไอ้ไข่เป็นที่เรียบร้อย ก็เดินทางเข้าที่พัก โรงแรมขนอม คาบาน่าบีช และโรงแรมขนอม ซันไรท์ บีช รีสอร์ท ตกเย็นคณะนักท่องเที่ยวร่วมงานเลี้ยง “สุขีราตรี สีสันทะเลใต้’’ รับประทานอาหารค่ำ ที่โรงแรมขนอม ซันไรท์ บีช รีสอร์ท โดยมีนางพิชญ์สินี ทัศน์นิยม ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานนครศรีธรรมราช-พัทลุง พร้อมด้วย นางสาวอิงอร คงชู รองผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานนครศรีธรรมราช-พัทลุง ให้เกียรติมาต้อนรับคณะนักท่องเที่ยว พร้อมแนะนำแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดนครศรีธรรมราช และร่วมสนุกกับกิจกรรมมอบของรางวัลจ     าก ททท. สำนักงานนครศรีธรรมราช-พัทลุง


           เช้าวันใหม่คณะของเราก็รีบเดินทางสู่แหลมประทับ      อ.ขนอม เพื่อชมปลาโลมาสีชมพู และกราบสักการะหลวงปู่ทวดที่เกาะกลางทะเล แหลมประทับนี้อยู่ทางตอนปลายด้านเหนือของอ่าวท้องเนียน เป็นชุมชนดั้งเดิมแห่งหนึ่งของตำบลท้องเนียน ประกอบอาชีพประมงชายฝั่งเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันมีชื่อเสียงจากการเป็นท่าเรือท่องเที่ยว ที่ให้บริการท่องเที่ยวทางทะเลขนอม ที่มีโปรแกรมท่องเที่ยวยอดนิยมคือ ชมโลมาสีชมพู บ่อน้ำจืดกลางทะเล สักการะหลวงปู่ทวด เขาพับผ้า เวทีพุ่มพวง เกาะท่าไร เกาะผี ดำน้ำ ตกปลา และยังมีสินค้าท้องถิ่นที่สำคัญคือกะปิแหลมประทับ ของกลุ่มแม่บ้านจำหน่ายเป็นสินค้าของฝากแก่นักท่องเที่ยว หมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้ตามประวัติเล่าว่า พระเจ้าตากสินเคยมาประทับแรมก่อนเดินทางไปยังนครศรีธรรมราช ปัจจุบันเรียกเพี้ยนเป็นบ้าน "แหลมทาบ"


             ตามด้วยการทำสปาปลา ที่สวนตาสรรค์ อ.ขนอม แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ  ที่เปิดให้บริการเล่นน้ำและทำฟิชสปา หรือ ปลาตอดเท้า โดยนักท่องเที่ยวสามารถนั่งเล่นให้ปลาตอดเท้าทำความสะอาดเท้าแบบธรรมชาติ สนุกสนานเพลิดเพลินปนจั๊กจี้หน่อยๆ ไปกับฝูงปลาที่มารุมตอดเท้า ถือเป็นการนวดและสปาเท้าไปในตัว 

                       แวะทานกาแฟนาแม่เฒ่า ดื่มด่ำกับบรรยากาศท้องนาเขียวขจี ท่ามกลางธรรมชาติที่สยงาม แถมมีมุมถ่ายภาพอีกมากมายจากนั้นก็เดินทางไปรับประทานอาหารกันที่ครัวต้นหยี ซีฟู๊ด 
             หลังจากอิ่มเอมกับอาหารกันแล้ว คณะของเราก็เดินทางสู่หมู่บ้านคีรีวง อ.ลานสกา ชุมชนเก่าแก่ที่อพยพไปอาศัยอยู่เชิงเขาหลวง อันเป็นเส้นทางเดินขึ้นสู่ยอดเขาหลวง ชาวบ้านที่นี่มีวิถีชีวิตที่สงบ สังคมแบบเครือญาติ อาชีพหลักคือการทำสวนผลไม้ผสมเรียกว่า “สวนสมรม” เช่น มังคุด เงาะ ทุเรียน สะตอ ชุมชนนี้เป็นชุมชนต้นแบบในการจัดการธุรกิจท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ( Thailand Tourism Awards) ประจำปี 2541 ประเภทเมืองและชุมชน  เนื่องจากเป็นชุมชนที่มี วิถีชีวิตแบบชาวสวนอยู่กับธรรมชาติ และได้พัฒนาการบริการนักท่องเที่ยวขึ้นมาเป็นธุรกิจใหม่ของชุมชน ประกอบด้วย การนำทาง เดินป่า ลูกหาบ การจัดที่พักแบบโฮมสเตย์ โดยการจัดตั้งชมรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เป็นองค์กร กลางของชาวชุมชน จัดแบ่งหน้าที่ไปยังกลุ่มต่างๆ ให้เกิดการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างทั่วถึง การมาท่องเที่ยวที่หมู่บ้านคีรีวงนี้ ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว เพราะนอกจากจะได้มาท่องเที่ยวในบริเวณที่มีธรรมชาติ สวยงามแล้ว ยังได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน พร้อมกับการกินอยู่แบบพื้นบ้านอีกด้วย


                      ปิดท้ายทริปกันด้วย การห่มผ้าขึ้นธาตุที่วัดธาตุน้อย หรือ วัดพระธาตุน้อย กิ่งอำเภอช้างกลาง โดยมี พระครูถาวรพิสุทธิ์ (เริงศักดิ์ ถาวโร) เจ้าอาวาสวัดธาตุน้อยกล่าวต้อนรับคณะนักท่องเที่ยว และ เป็นประธานรับถวายผ้าห่มองค์พระธาตุ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นโดยความประสงค์ของพ่อท่านคล้าย (พระครูพิศิษฐ์อรรถการ) พระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่ชาวใต้เลื่อมใสศรัทธาอย่างสูง ซึ่งศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนที่เคารพนับถือ ศรัทธาพ่อท่านคล้าย ได้เชื่อถือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของวาจา พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น จนได้การขนานนามว่า “พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์” ได้ชื่อว่าเป็นเทวดาเมืองคอน เทพเจ้าแห่งแดนใต้ ท่านมักจะให้พรกับทุกคน ขอให้เป็นสุข เป็นสุขชาวเมืองคอนเสื่อมใส ศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง  ภายในพระเจดีย์ประดิษฐานพระสารีริกธาตุ และสรีระสังขารพ่อท่านคล้ายในโลงแก้ว ปัจจุบันสรีระสังขารพ่อท่านคล้ายซึ่งว่ากันว่าแข็งเป็นหิน แล้วก็ไปรับประทานอาหารเย็นกันที่โรงแรมแกรนด์ เซ้าท์เทิร์น อ.ทุ่งสง ก่อนเดินทางไปขึ้นรถไฟที่สถานีทุ่งสง กลับกรุงเทพมหานครโดยสวีสดิภาพ

                                                                         อนุรักษ์ มงคลชัยประทีป/พรพรรณ ท้าวกาหลง เรื่องและภาพ
                                                                           พีรดา วงษ์ไกร/สุจิตตรา ทมถา กองบรรณาธิการ                           




 

 

 

 

 

 
































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พบโปรสุดพิเศษที่เค้กช็อพ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์

พบโปรสุดพิเศษที่เค้กช็อพ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์        เค้กช็อพ  โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ เชิญชวนคุณมาเติมความสดชื่นในทุกๆ เช้าวันใหม่ด้วยขนมอบร...