ทีเส็บ เดินหน้าส่งเสริมงานแสดงสินค้านานาชาติ
ทีเส็บเดินหน้าส่งเสริมการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติด้วย 5 กลยุทธ์ ปรับแนวการตลาดให้เฉพาะเจาะจง หวังผลได้ มุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจศักยภาพสูงในกลุ่ม 12 อุตสาหกรรมหลัก และภูมิภาคเอเชียที่ยังเติบโตได้ โดยปี 64 สนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ 58 งาน คาดการณ์สร้างรายได้หมุนเวียน 23,000 ล้านบาท
นายจิรุตถ์
อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ นายสรรชาย นุ่มบุญนำ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟอร์มา
มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท
เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัดและนายกวิน
กิตติบุญญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด ร่วมแถลงข่าวการส่งเสริมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติของทีเส็บ ณ ชั้น 12 โรงแรม V Hotel
นายจิรุตถ์
อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า จากแผนการส่งเสริมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติของทีเส็บ
ระยะ 5 ปี (2562-2566) โดยมุ่งเน้นการดึงงานและสนับสนุนการจัดงาน 12
อุตสาหกรรมหลัก เพื่อตอบรับนโยบายจากรัฐบาล ซึ่งในปี 2563 นี้
ได้มีการปรับแผนงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์โควิด 19 พร้อมรับการจัดงานยุค New
Normal ที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้จัดงานสามารถจัดงานได้
โดยทีเส็บจัดทำโครงการเอ็กซิบิชั่นนิวนอร์ม (Exhibition New Norm) ช่วยฟื้นฟูและผลักดันผู้จัดงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทย
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและเสริมศักยภาพให้จัดงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทยได้ตามมาตรการอย่างปลอดภัย
ครอบคลุมทุกรูปแบบการจัดงาน ทั้งการจัดงานในรูปแบบปกติ (Face to Face) และการจัดงานในรูปแบบปกติร่วมกับออนไลน์
(Hybrid Exhibition)
สำหรับปี
2564 ทีเส็บมีแผนการสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ 58 งาน แบ่งเป็นงานเดิม
44 งาน และงานใหม่จำนวน 14 งาน
ซึ่งงานทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ
อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร
และอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ
ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียน 23,000 ล้านบาท
ทั้งนี้
การส่งเสริมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติจะดำเนินงานภายใต้ 5 กลยุทธ์หลัก
ประกอบด้วย
1.
เอเชีย เซนทริค (Asia Centric) มุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมงานจากภูมิภาคเอเชียให้มากขึ้นทั้งในรูปแบบ
Online และ Offline พร้อมจัดแพ็กเกจสนับสนุนการจัดงานสำหรับผู้จัดแสดงงาน
(Exhibitor) ผู้จัดงาน (Organizer) และผู้เข้าร่วมงาน
(Visitor) ในกลุ่มประเทศเอเชีย
รวมถึงสิทธิประโยชน์พิเศษต่างๆ จากผู้จัดงานแสดงสินค้า ผู้ออกร้าน
และผู้เข้าร่วมงานจากกลุ่มประเทศนี้
เพื่อรักษาความเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้านานาชาติในภูมิภาคเอเชีย
2.
ดึงงานแสดงสินค้าใหม่ และส่งเสริมการจัดงานแสดงสินค้า งานประชุมนานาชาติ หรือ
งานเฟสติวัลต่างๆ ที่มีลักษณะงานใกล้เคียงกัน จัดในช่วงเวลาเดียวกัน (Attract
new shows + Clustering Events) มุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมงานให้มากยิ่งขึ้น
3.
ส่งเสริมการขยายงานลงสู่พื้นที่ในภูมิภาคต่างๆ ที่มีศักยภาพ (Driving
Opportunities to Regions) อาทิ โครงการไทยแลนด์ ล็อก-อิน อีเวนต์
ที่ดึงงานเข้าสู่พื้นที่อีอีซี
4.
ร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ ผลักดันให้เกิดการจัดงานใหญ่ในหน่วยงานต่างๆ (Collaborating
with Government) เพื่อให้เกิดการจัดงานหนึ่งกระทรวงหนึ่งงานเอ็กซ์โป
(One Ministry One Expo) และกระตุ้นให้ภาครัฐเห็นถึงความสำคัญของงานแสดงสินค้านานาชาติ
โดยสนับสนุนการจัดงานหรือส่งเสริมการประชุมหรือการแข่งขันภายในงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติภายใต้อุตสาหกรรมเดียวกัน
เพื่อเพิ่มองค์ความรู้และยกระดับความสำคัญของงานแสดงสินค้านานาชาติ
5.
ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ
เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้เข้าร่วมชมงานผ่านช่องทาง Online (Innovation
& Technology to Drive Trade Shows) มุ่งเน้นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
และกระจายเครือข่ายให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนให้กับผู้จัดงาน
และผู้ออกร้าน
อีกทั้งการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยียังเป็นการช่วยลดการสัมผัสสำหรับงานที่จัดขึ้นตามปกติด้วย
นายสรรชาย นุ่มบุญนำ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ทางอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาส่งเสริมการจัดงานแสดงสินค้าในยุควิถีใหม่ โดยงานแสดง ทุกงานได้จัดกิจกรรมและประชาสัมพันธ์งานผ่านช่องทางดิจิทัลต่างๆ อาทิ การจัดสัมมนาออนไลน์ (Webinar) เพื่อให้ความรู้กับอุตสาหกรรมและประชาสัมพันธ์งานอย่างต่อเนื่อง, เน้นย้ำสุขอนามัยในการเข้าร่วมงานตามมาตรฐาน Standard Operating Procedure (SOP), เพิ่มช่องทางในการประชาสัมพันธ์งานให้หลากหลาย เช่น ทางเว็บไซต์, E-newsletter, Facebook และ Line OA, โดยจัดงานแสดงสินค้าในรูปแบบไฮบริด เอ็กซิบิชั่น (Hybrid Exhibition) มีผู้สนใจเข้าชมงานจากหลากหลายประเทศผ่านทางดิจิทัลกว่า 2,500 คน รวมถึงมีการจัดเจรจาธุรกิจทางออนไลน์ (Online Business Matching) กว่า 500 นัด ในหลากหลายอุตสาหกรรมอีกด้วย
ด้าน
นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น
ออกาไนเซอร์ จำกัด กล่าวว่า การจัดงาน Exhibition ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมต่ออุตสาหกรรม
พร้อมทั้งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศแม้ในช่วงวิกฤตการณ์ที่ผ่านมา นีโอเองในฐานะผู้จัดงานเเสดงสินค้าระดับนานาชาติได้นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาผสานร่วมกับครีเอทีฟไอเดียในการสร้างสรรค์งานเเสดงสินค้าในรูปเเบบใหม่
อาทิ Webinar, Live streaming, Virtual Exhibition และ
Online Business Matching เพื่อเสริมศักยภาพเเละเพิ่มการเข้าถึงอย่างไร้ขีดจำกัด
“ผมเชื่อว่าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
การใช้เทคโนโลยีออนไลน์จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเสริมประสบการณ์ให้กับผู้เข้าร่วมชมงาน
และสามารถเป็นแพลตฟอร์มในการเชื่อมต่อเครือข่ายทางธุรกิจกับผู้ซื้อทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ส่วน
นายกวิน กิตติบุญญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด
กล่าวว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด 19 และการห้ามเดินทางระหว่างประเทศ บริษัทฯ
ได้เริ่มนำ Digital เทคโนโลยีมาใช้ในการจัดงานแสดงของบริษัทฯ
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แสดงไทยได้มีโอกาสพบปะกับกลุ่มเป้าหมายผู้ซื้อจากต่างประเทศที่สนใจแต่ไม่สามารถเดินทางมาได้เพราะปิดประเทศ
ผลปรากฏได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้แสดง
สำหรับปี
2564 บริษัทฯ ได้เตรียมการจัดงานในรูปแบบ Hybrid คือมีทั้ง
Face to Face และ Digital เพราะคาดการณ์ว่าสถานการณ์โควิด
19 คงยังไม่จบและวัคซีนที่ผลิตออกมายังมีไม่เพียงพอ โดย Digital จะครอบคลุมทั้งในส่วนของ
International Exhibitors ที่สนใจต้องการขยายตลาดมาประเทศไทยและมาร่วมงานไม่ได้
และ Thai Exhibitors ที่ต้องการขายสินค้าไปต่างประเทศ
นายจิรุตถ์
อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการทีเส็บ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ถึงแม้ในปี
2563 นี้ สถานการณ์โควิด 19 จะส่งผลกระทบให้ไม่สามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ตามปกติ
แต่ผู้จัดงานในอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ
ต่างนำเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดงานรูปแบบปกติร่วมกับออนไลน์ (Hybrid
Exhibition) ทำให้ยังคงเกิดการเจรจาธุรกิจและการซื้อขายระหว่างนักธุรกิจไทยและกลุ่มลูกค้าในอาเซียนเกิดการจับคู่ทางธุรกิจ
(Business Matching) ขึ้นกว่า 15,000 คู่
โดยทีเส็บให้การสนับสนุนงานแสดงสินค้านานาชาติทั้งสิ้นจำนวน 24 งาน
ซึ่งมีผู้ร่วมงานจากทั้งในและต่างประเทศรวม 133,259 คน สร้างรายได้ 6,521 ล้านบาท”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น