ถอยคนละก้าว! จนท.เขตป้อมปราบฯ ยังไม่รื้อ
ตึกลุงกับป้า รอคำพิจารณาจากศาลปกครอง
จากกรณีที่ลุงกับป้า ออกมาร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากเจ้าหน้าที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ถือคำสั่งศาลชั้นต้นเข้ารื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมอย่างไม่เป็นธรรม ล่าสุดเจ้าหน้าที่นำกำลังเข้ามารื้อถอน แต่ทางลุงกับป้าให้เหตุผลว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคำพิจารณาจากศาลปกครอง เพื่อขอให้คุ้มครองชั่วคราว ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะเข้าไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชย 1ในการขอเลื่อนการรื้อถอนอาคารออกไป ขณะที่ลุงกับป้า ร้องขอให้เจ้าหน้าที่ยึดคำพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 "ความยุติธรรมมาก่อนกฎหมาย และอยู่เหนือกฎหมาย"
คุณลุงสมชาย และคุณป้าเพชรรัตน์ อุตมะวณิชย์ ก้มกราบพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อขอความเป็นธรรมในการไม่ให้เจ้าหน้าที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เข้ามาทำการรื้ออาคาร หลังจากทั้งคู่ได้ไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ให้คุ้มครองชั่วคราว เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา
โดยคุณลุงสมชาย อุตมะวณิชย์ กล่าวว่า ตนเองได้รับแจ้งจากทางสำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ว่าวันนี้ (วันที่ 2 ธันวาคม2563) จะส่งเจ้าหน้าที่เข้ามารื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมในชั้น 5 และชั้น 6 ซึ่งอาคารดังกล่าวได้ก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 ก่อนที่ พ.ร.บ.ควบคุมอาคารจะออก และในส่วนที่เป็นข้อพิพาทนั้นได้สร้างขึ้นก่อนที่จะมีกฎหมายควบคุม อีกทั้งชาวบ้านบริเวณแถวนี้ก็อยู่อาศัยภายในอาคารลักษณะเดียวกัน แต่ทำไมถึงต้องมาสั่งให้ตนเองทุบชั้นที่ต่อเติมขึ้นมาแค่เพียงหลังเดียว แต่ว่าในเมื่อข้างบ้านก็มีการต่อเติมอาคารขึ้นมาเหมือนกันถึง 33 คูหา ถ้าจะให้ตนทุบ ก็ต้องทุบบ้านข้างเคียงด้วย จะได้เหมือนกัน เพราะการต่อเติมก็ทำเหมือนๆ กันทั้งหมด
สำหรับประวัติความเป็นมาของอาคารที่มีข้อพิพาทตามหลักฐานทางราชการ และที่ไปที่มาของการพิพาทของอาคารหลังดังกล่าว ซึ่งมีจุดเริ่มต้นของการเกิดข้อพิพาทจนถึงกับขั้นเป็นคดีความร้องเรียนกันมาจนถึงทุกวันนี้ คือเริ่มตั้งแต่ ปี พ.ศ.2507 ซึ่งภายในปีนั้นเองได้มีการก่อสร้างอาคารทั้งหมดจำนวน 33 คูหา ซึ่งเป็นลักษณะเป็นตึกสูง 6 ชั้น แล้วได้เลขที่บ้านของอาคารแต่ละหลังพร้อมกันทั้งหมด ซึ่งตรงนี้ทางเจ้าของอาคารคนปัจจุบันมีหลักฐานเป็นผังจัดสรร แล้วถัดมาในปี พ.ศ. 2562 ได้มีใบแจ้งประเมินภาษีทรัพย์สินจากทางสำนักงานเขตป้อมปราบฯ แล้วยังระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นอาคารสูง 6 ชั้น ซึ่งปลูกสร้างมา 43 ปีแล้ว และ ทั้งนี้ยังมีหลักฐานภาพถ่ายทางอากาศ ของปี พ.ศ. 2517 ยืนยันว่า อาคารทั้งหมด 33 คูหา เป็นอาคารสูง 6 ชั้น เหมือนกันทั้งหมด พออยู่มาถึงปี พ.ศ. 2535 ทางเจ้าของเดิมมีการซ่อมลิฟท์ ที่ติดตั้งเอาไว้ภายในอาคาร ลิฟท์ที่ติดไว้มีความสูง 5 ชั้น มาถึงปี พ.ศ.2538-2541 เจ้าของเดิมได้ซื้ออาคารที่มีข้อพิพาทต่อมาจากบริษัทแห่งหนึ่ง แล้วถึงจะมีข้อพิพาท พอไม่นานก็ถูกร้องเรียน พอสักระยะเวลาประมาณนึงทางสำนักงานเขตก็ออกคำสั่งให้เจ้าของเดิม รื้อถอนอาคารของเจ้าของเดิมและคู่พิพาท แต่เจ้าของเดิมไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นเหตุให้ถูกคำสั่งรื้ออาคารดังกล่าว ส่วนคู่พิพาทใช้สิทธิ์ภายในระยะเวลาตามกฎหมายเลยรอด
พอมาถึงปี พ.ศ.2542-2547 ก็มีการฟ้องร้องกันในคดีแพ่งที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ในขณะนั้นทางศาลก็มีการเดินเผชิญสืบอาคารพิพาทเกิดขึ้น แล้วสืบเนื่องมาจนภายในปี พ.ศ.2547-2549 คุณลุงสมชายและคุณป้าเพชรรัตน์ก็ได้ตกลงซื้ออาคารต่อจากเจ้าของเดิม โดยไม่ทราบถึงเรื่องที่มีการฟ้องร้องหรือร้องเรียนกันอยู่ พอต่อมาไม่นานก็มีคนนำคดีไปฟ้องให้กับเจ้าหน้าที่เร่งรัดปฏิบัติตามคำสั่งให้รื้อถอน และทางสำนักงานเขตฯ ก็ออกคำสั่งให้กับคุณลุงสมชายและคุณป้าเพชรรัตน์ รื้อถอนอาคารในชั้นที่ 5 และ 6 ออกทันที ซึ่งทางคุณลุง คุณป้า จึงใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์ และฟ้องคดีต่อศาลปกครองโต้แย้งคำสั่งจากทางศาลของเขตฯ ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งไม่มีผลใช้บังคับ และผลของคำสั่งศาลที่บังคับกับคุณลุงคุณป้ายังไม่ถึงที่สุด ต่อมาเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 คุณลุง คุณป้า จึงทำหนังสือร้องเรียน กรณีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นใช้อำนาจในตำแหน่งเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
ทั้งนี้ หลังจากคุณลุง คุณป้า และทนายความ ได้พูดคุยเจรจากับทางเจ้าหน้าที่เขต เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่รื้อถอน เนื่องจากทางคุณลุงสมชาย และป้าเพชรรัตน์ ได้ยื่นหนังคำร้องที่ยื่นต่อศาลปกครองมายืนยัน และให้เหตุผลว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคำพิจารณาจากศาลปกครอง เพื่อขอให้คุ้มครองชั่วคราว ทางเจ้าหน้าที่เขต จึงยังไม่ได้เข้ารื้อถอนอาคารดังกล่าว ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะเดินทางไปที่สถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชย 1 เพื่อ ลงบันทึกประจำวันทีไว้เป็นหลักฐานต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น