พระมหาสีไพร อาภาธโร ประธานมูลนิธิตอกเส้นสีไพร นำนักศึกษาโรงเรียนนวดตอกเส้นสีไพรมายื่นหนังสือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทวงถามใบอนุญาตเปิดสอนหลักสูตรตอกเส้นเพื่อสุขภาพ 150 ชม. ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และการขอใบอนุญาต
เปิดสอนหลักสูตรตอกเส้น 100 ชม. ของสภาการ
แพทย์แผนไทย
พระมหาสีไพร
อาภาธโร ประธานมูลนิธิตอกเส้นสีไพร นำนักศึกษาโรงเรียนนวดตอกเส้นสีไพร 100 กว่าคน มายื่นหนังสือกับนายอนุทิน
ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อทวงถามเรื่องการขอใบอนุญาตเปิดสอนหลักสูตรตอกเส้นเพื่อสุขภาพ
150 ชั่วโมง ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และการขอใบอนุญาตเปิดสอนหลักสูตรตอกเส้น
100 ชั่วโมง ของสภาการแพทย์แผนไทย ที่มีความล่าช้า โดยเรื่องของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพมี
นายอาคม ประดิษฐ์สุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพมาเป็นผู้รับมอบ ส่วนเรื่องของสภาการแผนแพทย์ไทยมี
นายพิเชฐ เลิศธรรมศักดิ์ เลขาธิการสภาการแผนแพทย์ไทย และนางสาวจิตรณิญาณ์ ฐิติปัญญรัตน์
อุปนายกการแผนแพทย์ไทยคนที่ 1 เป็นผู้รับมอบ
พระมหาสีไพร
อาภาธโร ประธานมูลนิธิตอกเส้นสีไพร เปิดเผยว่า อาตมาได้สร้างโรงเรียนนวดตอกเส้นสีไพรบนพื้นที่
22 ไร่ ใช้เงินไปกว่า 50 ล้านบาท และได้รับใบอนุญาตเป็นโรงเรียนเอกชน
การศึกษานอกระบบจากกระทรวงศึกษาธิการเมื่อปี 2561 อาตมาได้พยายามติดต่อประสานงานกับสภาแพทย์แผนไทยเรื่องขออนุญาตเปิดหลักสูตรตอกเส้น
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ใช้เวลา 4 ปีกว่า ทางสภาแพทย์แผนไทยจึงอนุมัติหลักสูตรนวดตอกเส้น
100 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2562
นักเรียนทุกคนดีใจกัน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังสอนไม่ได้จนบัดนี้ เพราะหลักสูตรตอกเส้นไม่เคยมีใครเปิดสอนมาก่อน โรงเรียนจะสอนตามหลักสูตรได้จริง
ก็ต้องอบรมครูต้นแบบจากสภาการแพทย์แผนไทย ทางคณะกรรมการทำงานประชุมกันหลายครั้งว่าจะเปิดอบรมครูต้นแบบตามหลักสูตรที่อนุมัติ
ก็ไม่ยอมเปิดสอนสักที ผลัดเดือนนั้นเดือนนี้มาหลายครั้งแล้ว ครั้งสุดท้ายก็บอกว่าจะเปิดอบรมครูในเดือนธันวาคม
“ประชุมคณะกรรมการทำงานกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็เงียบ ไม่มีอะไรคืบหน้า
เลยไม่รู้ว่าสภาแพทย์แผนไทยจะเอาอย่างไรกันแน่” ซึ่งอาตมาถือว่าเป็นการขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของการแพทย์แผนไทย
สร้างความเสียหายให้การแพทย์แผนไทยเป็นอย่างมาก ผู้ที่จะเรียน
ผู้ที่ดำเนินการจะเปิดคลินิกก็ทำไม่ได้ ทำงานล่าช้าไม่มีกรอบระยะการทำงาน
แต่งตั้งคณะกรรมการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพมาทำงาน เป็นการเสียโอกาสของนักเรียน
และเป็นความเสียหายของผู้ที่จะเปิดคลินิกสถานประกอบการที่ต้องจ่ายค่าเช่ามานานนับปี
โดยที่เปิดไม่ได้ เป็นความเสียหายของการแพทย์แผนไทยเป็นอย่างยิ่ง
การแพทย์แผนไทยมีแต่วันตกต่ำหมดค่าหมดราคา เพราะการทำงานที่ไม่มีวิสัยทัศน์
สภาการแพทย์แผนไทยมีหน้าที่รับผิดชอบกับผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยหลายหมื่นคน
มีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชนทั้งประเทศ
มีแต่เรื่องร้องเรียน และความขัดแย้งในคณะกรรมการ มัวแต่ทะเลาะกันเอง ทำให้เสียงาน
เสียโอกาสของผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์แผนไทย
ปัจจุบันมีหมอตอกเส้นที่ผ่านการเรียนการสอนตอกเส้นของโรงเรียนนวดตอกเส้นสีไพร
2,000 กว่าคน และจากโรงเรียนอื่นๆ ที่เปิดสอนอีกหลายพันคน
เมื่อสภายังไม่รับรองหลักสูตร นักเรียนที่เรียนจบมาก็กลายเป็นหมอเถื่อน
เป็นหมอใต้ดิน ที่ถูกเจ้าหน้าที่ สสจ. ไล่จับ เป็นคดีความทั่วประเทศ ทั้งๆที่ ศาสตร์ตอกเส้นเป็นที่นิยมไปทั่วประเทศ
และเผยแพร่ไปทั่วโลก ชาวต่างประเทศก็มาเรียนตอกเส้น เพราะตอกเส้นรักษาได้หายจริง อีกทั้งประหยัดและปลอดภัย
มีผู้เข้ารับการตอกเส้นหลายแสนคน ลองคิดดูคนที่เป็นโรคปวดหลัง 200,000
คน ต้องใช้ยา ต้องใช้หมอผ่าตัด ค่าใช้จ่ายอย่างน้อยก็คนละ200,000
บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 40,000,000,000
ล้านบาท ถ้าใช้ศาสตร์ตอกเส้นของโรงเรียนนวดตอกเส้นสีไพร โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด
ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องใช้ยา ค่าใช้จ่ายก็ประมาณคนละไม่เกิน 2,000
บาท รวมแล้วก็ 400,000,000 บาทเท่านั้น ตอกเสร็จอาการก็ดีขึ้น
50-100% ทำงานได้ตามปกติ ศาสตร์ตอกเส้นสีไพรควรที่จะได้รับรองหลักสูตรให้ถูกต้องตามกฎหมายของการประกอบวิชชาชีพแพทย์แผนไทย
อย่าปล่อยให้เป็นหมอเถื่อน หรือจะรอต่างชาติเขาเอาไปจดสิทธิ์บัตร
แล้วเราก็มาเรียกร้องว่าเป็นของคนไทย
อาตมาได้ยื่นขอรับรองหลักสูตรกับสภาแพทย์แผนไทยเมื่อปี
2558 แต่ได้รับอนุมัติหลักสูตรตอกเส้นพื้นบ้าน 100 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน
พ.ศ. 2562 และหลังจากอนุมัติหลักสูตรผ่านมาแล้ว 18 เดือน ก็ยังเปิดสอนไม่ได้
คนที่จะเรียนก็มีหลายพันคน โรงเรียนก็พร้อม ครูก็พร้อม
ที่ไม่พร้อมคือใบอนุญาตจากสภาการแพทย์แผนไทย
และอาตมายังได้ยื่นขอเปิดหลักสูตรตอกเส้นเพื่อสุขภาพ
150 ชั่วโมง กับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 เรื่องผ่านทุกขั้นตอนหมดแล้ว
แต่พอจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในเดือนมีนาคม
2563 ทาง พลเรือเอก ชาญชัย เจริญสุวรรณ นายกสภาแพทย์แผนไทย ก็ออกหนังสือคัดค้าน
ท่านอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพจึงส่งหนังสือขอความเห็นไปทางสำนักกฤษฎีกา เมื่อวันที่
4 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เรื่องเงียบหายไปนาน 6 เดือน อาตมาก็สอบถามไปทางกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
กรม สบส.ก็บอกว่ายังไม่ได้รับหนังสือจากสำนักงานกฤษฎีกา
และได้ตามทวงถามความคืบหน้ากับท่านรองอธิบดีตลอด รอแล้วรอเล่าจนวันที่14 ตุลาคม.
2563 อาตมาจึงเดินทางไปที่สำนักงานกฤษฎีกาด้วยตนเอง ทางสำนักงานกฤษฎีกาก็ยืนยันว่าได้ตีความ
ส่งหนังสือมาให้ทางกรม สบส.. ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2563.แล้ว เลยกลายเป็นเรื่อง
อาตมาจึงได้โทรถามทางกรม สบส. กรมก็ยืนยันว่ายังไม่ได้รับหนังสือ อาตมาจึงได้ขอหมายเลขหัวหนังสือจากสำนักงานกฤษฎีกา
พร้อมเบอร์โทรส่งให้ทางกรม สบส.โทรคุยกันเอง ผ่านไป 1 ชั่วโมง ทางกรมบอกว่าหาเจอแล้ว
ถูกดองเก็บเอาไว้ 3 เดือน
อาตมาจึงได้นำเอาเรื่องนี้ไปร้องเรียนถึง สตง. คณะกรรมมาธิการสภาผู้แทน นายอนุทิน ชาญวีระกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่งต่อไปถึงปลัดกระทรวง ส่งถึงอธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรม สบส แต่เวลาจะ 3 เดือนแล้ว เรื่องก็ยังไม่คืบหน้า มีความล่าช้า อาตมาจึงได้นำคณะนักเรียนส่วนหนึ่งของโรงเรียนนวดตอกเส้นสีไพร มายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมโดยตรงกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอให้ท่านเรียกนายกสภาแพทย์แผนไทย และอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมการแพทย์แผนไทยมาประชุม เพื่อแก้ปัญหาในความล่าช้าในการขอใบอนุญาตหลักสูตรนวดตอกเส้น 100 ชั่วโมงของสภาแพทย์แผนไทย และหลักสูตรตอกเส้นเพื่อสุขภาพ 150 ชั่วโมงของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และถ้าตกลงกันไม่ได้จริงๆ อาตมาก็จะยกตำราเรียนทั้งหมดให้กับประเทศจีน เป็นแพทย์แผนจีนไปเลย
พระมหาสีไพร
อาภาธโร ประธานมูลนิธิตอกเส้นสีไพร ยังได้กล่าวอีกว่า ในความเห็นของอาตมา หลักสูตรที่นักเรียนต้องการคือหลักสูตรตอกเส้นเพื่อสุขภาพ
150 ชั่วโมงของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นหลักสูตรที่ตอบโจทย์ เรียนระยะสั้น
ทุกคนมีสิทธิ์เรียนได้หมด ไม่ยุ่งยาก เรียนจบภายใน 1 เดือน ขึ้นทะเบียนเปิดสถานประกอบการตอกเส้นเพื่อสุขภาพได้เลย
ณ ปัจจุบันสถานประกอบการเพื่อสุขภาพก็ใช้ศาสตร์ตอกเส้นอยู่แล้วหลายหมื่นคน
แอบทำกันทั้งนั้น สมควรที่จะทำให้ถูกต้อง
ส่วนหลักสูตรนวดตอกเส้น
100 ชั่วโมงของสภาการแพทย์แผนไทยที่อนุมัติมา ไม่ตอบโจทย์ผู้เรียน เพราะมีการกำหนดคุณสมบัติผู้เรียนที่ไม่ชอบธรรม
ข้อที่ 8. คุณสมบัติของผู้เรียนคือ
8.1
เป็นผู้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี
8.2
เป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายและจิตใจไม่เป็นอุปสรรคต่อการอบรมและการปฏิบัติงาน
8.3
ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาการแพทย์แผนไทยหรือสาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์
หรือสำเร็จการอบรมหลักสูตรผู้ช่วยแพทย์แผนไทยหรือหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพการแพทย์แผนไทย
ด้านเวชกรรมไทย หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพการแพทย์แผนไทยด้านการนวดไทย 800 ชั่วโมงหรือเทียบเท่าที่สภาการแพทย์แผนไทยรับรอง
สรุปแล้วถ้าจะประกอบวิชาชีพทำตามสภาแพทย์แผนไทย
ต้องใช้เวลาถึง 4 ปีขึ้นไป ค่าใช้จ่ายในการเรียนหลายแสนบาท จึงขอฝากบอกไปยังท่านอนุทิน
ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่า นี่คือความเสื่อมของการแพทย์แผนไทย
ที่มีแต่วันตกต่ำหมดค่าหมดราคา เรียนจบก็ไม่มีงานทำ เพราะเรียนแต่ตำราโบราณ ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ป่วยและผู้เรียน ทั้งๆ ที่ความรู้ของแพทย์แผนไทยถูกถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ
ปู่ย่าตายาย สอนกันง่ายๆ รุ่นสู่รุ่น
แต่มาถูกสภาการแพทย์แผนไทยกำหนดกฎระเบียบให้ยุ่งยาก แทบไม่มีการส่งเสริมใดๆ เลย
มีแต่ออกกฎระเบียบมากำจัดความรู้ ความสามารถ สภาการแพทย์แผนไทยมีไว้เพื่อฆ่าแพทย์พื้นบ้าน
แพทย์พื้นเมือง ปราชญ์ภูมิปัญญาชาวบ้านต้องต่อสู้ขึ้นโรงขึ้นศาลหลั่งน้ำตากว่าจะได้มาให้ถูกต้องตามกฎหมาย แพทย์แผนไทยถ้าพัฒนาดีๆ
สามารถสร้างรายได้หลายแสนล้านบาท ประหยัดงบประมาณของรัฐได้หลายหมื่นล้านบาท
หลักสูตรการเรียนการสอนตอกเส้น
ที่ตอบโจทย์สุขภาพของคนทั้งโลก หาย ประหยัด ปลอดภัย ใช้เวลาสั้น ต้นทุนต่ำ อาตมาหวังว่า
ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจะได้เล็งเห็นความเดือนร้อนของประชาชน
เพราะสุขภาพของประชาชนคือรากแก้วของแผ่นดิน เล็งเห็นความจริงใจ
ความหวังดีที่อาตมามีให้กับแผ่นดิน
และเปิดตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพนำพานักท่องเทียวทั่วโลกสู่แผ่นดินไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น