มูลนิธิรวมพัฒน์ ร่วมกับ ADH สร้างต้นแบบการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล เชื่อมบล็อกเชน จากชุมชนเมืองสู่หมู่บ้าน มูลค่ากว่า 4,000 ล้าน
นายรักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ ประธานมูลนิธิรวมพัฒน์ และอดีตผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ร่วมลงนามกับนายธนกฤช โชควรทรัพย์ ประธาน บริษัท เอ.ดี เฮ้าส์ จำกัด ในบันทึกข้อตกลงสนับสนุนการสร้างต้นแบบระบบเหรียญดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียนจากชุมชนเมืองสู่หมู่บ้าน มีสินทรัพย์พร้อมใช้งานเป็นอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 1,000 ยูนิต มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งมีความพร้อมให้บริการในเมืองท่องเที่ยวทั้งใน พัทยา ชะอำ และหัวหิน ฯลฯ โดยทำงานร่วมกันด้วยโทเคน BETTERpoint และ ระบบ Community Service Tokenize ที่ห้องประชุม GiowFish(Sathorn) Conference Hall 2-3 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2565
นายรักษ์พงษ์
เซ่งเจริญ ประธานมูลนิธิรวมพัฒน์ กล่าวว่า จากประสบการณ์ทำงานพัฒนาชุมชนเมืองและหมู่บ้านของตนตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา
ทำให้พบว่าชุมชนในเมืองใหญ่และหมู่บ้านในต่างจังหวัดได้ถูกแบ่งแยกและขาดการเชื่อมโยงกันจากกลไกต่างๆ
ในอดีต จนทำให้ระบบเศรษฐกิจของไทยถูกผูกขาดและควบคุมโดยตัวกลางในหลายมิติ แต่หากเราได้ลองไปสำรวจในพื้นที่ต่างๆ
ของประเทศ จะพบว่าภาคใต้มีปลา ภาคกลางมีข้าว ภาคเหนือมีภูเขา ภาคตะวันออกมีทะเล
ภาคอีสานมีพื้นที่ราบใหญ่ ซึ่งทุกพื้นที่ของประเทศต่างมีสินทรัพย์ที่เพียงพอต่อการดำรงชีพของคนไทยอยู่อย่างมากมายและเหลือล้น
แต่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนกันโดยตรงได้ เพียงเพราะขาดเงินที่เป็นสื่อกลาง
จึงทำให้ต้องเกิดการกู้หนี้ยืมเงินมาเพื่อนำไปลงทุน ซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยจำนวนมากและหมดอำนาจต่อรองทางธุรกิจลง
จนไม่สามารถแข่งขันในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมได้เพราะขนาดธุรกิจที่เล็กกว่ารายใหญ่หรือพ่อค้าคนกลาง
และต้นทุนทางการเงินหรือดอกเบี้ยที่แพงกว่าบริษัทใหญ่หรือนายทุน การนำเทคโนโลยีบล็อคเชนที่พร้อมใช้แล้วในปัจจุบัน
มาเชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน
ให้เงินได้ไหลจากผู้คนจากชุมชนเมืองไปสู่หมู่บ้านในต่างจังหวัด
แล้วไหลกลับจากผู้คนในหมู่บ้านต่างจังหวัดมาสู่ชุมชนเมืองเป็นวัฎจักรที่หมุนเวียนและเพิ่มมูลค่าในตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง อันเป็นการกระจายอำนาจและประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ส่วน ดร.ชนิญญา
ชัยสุวรรณ รองประธานมูลนิธิรวมพัฒน์ กล่าวเสริมว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงสนับสนุนการสร้างต้นแบบฯ
ในวันนี้ นับเป็นนิมิตรหมายอันดีในการศึกษาและพัฒนาด้านกฎหมายของประเทศด้วย
เนื่องจากเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นเป็นเรื่องที่ยังใหม่มากในระดับโลก
โดยนานาประเทศยังอยู่ระหว่างการหาจุดเหมาะสมเพื่อนำมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจในรัฐของตน
การหาสมดุลระหว่างการส่งเสริมและกำกับด้วยกฎหมายของรัฐ
ด้วยการต่อยอดพัฒนาต้นแบบฯบนฐานกฎหมายเดิมจะทำให้เกิดการพัฒนาที่สร้างการยอมรับและความเข้าใจได้ในวงกว้าง
จนเป็นพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับนำไปสู่การพัฒนาที่ก้าวกระโดดได้โดยง่าย
ซึ่งจากประสบการณ์ในการเป็นอดีตอธิบดีอัยการยาเสพติด
และที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข
อันได้มีส่วนร่วมในการศึกษาและขับเคลื่อนการปลดล็อคกฎหมายกัญชาและกระท่อม พบว่า “การปลดล็อคศักยภาพการใช้งานของสินทรัพย์ต่างๆ
จะก่อให้เกิดมูลค่าหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและประชาชนได้อย่างหลายเท่าทวีคูณ
ซึ่งการสร้างต้นแบบฯทางกฎหมายในครั้งนี้
จะช่วยปลดล็อคและเป็นต้นแบบการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้งานให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจหมุนเวียนระหว่างชุมชนเมืองและหมู่บ้านในหลายพื้นที่ของประเทศ
จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อัตลักษณ์ประจำท้องถิ่นหรือพื้นที่ เช่น สมุนไพรไทย ภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย
ตลอดจนภูมิปัญญาไทย
อันนำไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนของประชาชนได้เป็นอย่างดี"
ด้าน นายธนกฤช
โชควรทรัพย์ ประธาน บริษัท เอ.ดี เฮ้าส์ จำกัด
กล่าวว่า ADH ได้ดำเนินการและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องในการขึ้นเป็นผู้นำการสร้างคอนโดเพื่อสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้ลงทุนและผู้อยู่อาศัยมาตั้งแต่ปี
พ.ศ.2548 โดย ADH ได้ออกแบบและก่อสร้างพร้อมรองรับกลุ่มเป้าหมายตามมาตรฐานสากล
ในทำเลยอดนิยมต่างๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น พัทยา ชะอำ หรือ หัวหิน โดยปัจจุบันมีความพร้อมเข้าอยู่อาศัยแล้วกว่า
1,000 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 4,000
ล้านบาท แต่ด้วยแนวโน้มที่เปลี่ยนไปของเศรษฐกิจจากเดิมที่ไทยเติบโตได้
โดยอาศัยการเติบโตของเศรษฐกิจโลก แต่จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และสภาวะ Deglobalization
ในปัจจุบัน
ทำให้ทุกประเทศต้องมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศ ซึ่งธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องเร่งปรับรูปแบบการสร้างความคุ้มค่าให้กับลูกค้าของ
ADH เพิ่มมากขึ้นให้สอดรับกับระบบเศรษฐกิจใหม่ ทาง ADH
จึงให้ความสำคัญกับความร่วมมือในครั้งนี้
ซึ่งจะเป็นมิติใหม่ของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จะก่อให้เกิดทั้งเศรษฐกิจแบ่งปันและหมุนเวียน(Sharing
& Circular Economy) อันจะช่วยสร้างประโยชน์อย่างสูงสุดให้กับลูกค้าของเราที่เป็นทั้งผู้ลงทุนและผู้อยู่อาศัย
ตลอดจนระบบเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมอีกด้วยหากความร่วมมือนี้ได้ดำเนินการจนเสร็จสิ้น
และ นายธนภัทร
บัวลอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบทเทอร์ดู จำกัด
กล่าวว่า บริษัทฯ มีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยี โดยมุ่งเน้นการนำบล็อคเชนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจในตลาดหลักอย่างแท้จริงมากกว่าเป็นแค่การเก็งกำไรในตลาดรอง
โดยได้พัฒนาขึ้นมาจนสามารถยื่นจดสิทธิบัตรระบบจัดการข้อมูลการทำงานร่วมกันด้วยโทเคน
BETTERpoint และ ระบบ Community Service
Tokenize ซึ่งจะช่วยสนับสนุนความร่วมมือของโครงการนี้ให้บรรลุเป้าหมายจนก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ลงทุน
ผู้อยู่อาศัย ตลอดจนเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมได้อย่างแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น