วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2564

ททท. ร่วมกับ สทท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นฯ ไตรมาส 3/2564 พร้อมอัพเดตความพร้อม Thailand Sandbox"

ททท. ร่วมกับ สทท. แถลงดัชนีความเชื่อมั่นฯ ไตรมาส 3/2564 พร้อมอัพเดตความพร้อม Thailand Sandbox"

             การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 3/2564 อยู่ที่ระดับ 7 สะท้อนสถานการณ์การท่องเที่ยวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน  ดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ไตรมาสที่ 4/2564 อยู่ที่ระดับ 29 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการคาดว่า "สถานการณ์การท่องเที่ยวในไตรมาสหน้าจะดีขึ้นกว่าไตรมาสนี้มาก" แต่สถานการณ์ท่องเที่ยวยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติมากที่สุดเมื่อเปรียใจบเทียบระหว่างภูมิภาคผู้ประกอบการ

      คาดว่าในไตรมาส 4/2564  สถานการณ์ท่องเที่ยวกรุงเทพมหานครจะดีกว่าภูมิภาคอื่น ส่วนภาคตะวันตกเป็นภูมิภาคที่มีตัวเลขความเชื่อมั่นต่ำที่สุด  จากการสำรวจสถานภาพการประกอบการในไตรมาสนี้ พบว่าเหลือผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ยังเปิดให้บริการเพียงร้อยละ 51 ลดลงจากไตรมาส 2 ร้อยละ 7 โดยเป็นการปิดกิจการชั่วคราวร้อยละ 44 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 และปิดกิจการถาวรร้อยละ 5 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 และพบว่าร้อยละ 84 ของสถานประกอบการมีพนักงานเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง  โดยมีแรงงานที่ออกจากระบบไปมากถึง ร้อยละ 71 หรือประมาณ 3,053,000 คน และร้อยละ 54 ของสถานประกอบการระบุว่าไม่มีรายได้เข้ามาเลย โดยสถานบันเทิงร้อยละ 100 สวนสนุกและธีมพาร์คร้อยละ 94  บริษัทนำเที่ยวร้อยละ 93 ธุรกิจนวดและสปาร้อยละ 86 ธุรกิจบริการขนส่งนักท่องเที่ยวร้อยละ 68 ไม่มีรายได้เข้ามาเลย  ในไตรมาสนี้ธุรกิจขนส่งนักท่องเที่ยว ธุรกิจที่พักแรม และร้านขายของฝากของที่ระลึก มีรายได้ดีขึ้นกว่าไตรมาส 2 เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์” และ “สมุยพลัสโมเดล"

      นอกจากนี้พบว่า ธุรกิจโรงแรม/ที่พัก เปิดให้บริการประมาณร้อยละ 82 โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยประมาณร้อยละ 18 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ดีขึ้นกว่าไตรมาส 2

        นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่าโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” ที่เปิดมาประมาณ 3 เดือนนั้น ถือว่าประสบความสำเร็จในเชิงสัญลักษณ์คือ เป็นการประกาศให้ทั่วโลกรู้ว่า "ไทยเราเป็นผู้นำของโลกในด้านการท่องเที่ยว สามารถเป็นต้นแบบในการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยตามมาตรการสุขอนามัยที่ดี" ซึ่งต้องขอขอบคุณวิสัยทัศน์ของรัฐบาลสำหรับแผนการเปิดประเทศ 120 วันที่ดำเนินการมาได้ด้วยดี และมีการพบผู้ติดเชื้อในโครงการ Sandbox ต่ำมากๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อมาเจาะลึกในด้านอื่นๆพบว่า เรายังไม่สามารถขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากที่ผ่านมา เงื่อนไขในการเข้าประเทศยังไม่เอื้อกับการเดินทางท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวยังมีความสับสนในเรื่องของเกณฑ์และรูปแบบที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่  โดยได้เสนอทุกพื้นที่ใช้ SOP เดียวกันและให้ใช้ชื่อ “แซนด์บอกซ์” ต่อท้ายเหมือนกันเหมือนกันกับทุกพื้นที่ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อให้เป็น Signle Message ที่ง่ายต่อการประชาสัมพันธ์ โดยที่ผ่านมาทาง สทท. ได้ผลักดันให้มีการลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน สำหรับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และลดการตรวจโควิด-19 เหลือ 2 ครั้ง ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากท่านรัฐมนตรีและ ศบค. ลำดับต่อไปจะเป็นการพิจารณาว่าทำอย่างไรให้เกิดความสะดวกกับนักท่องเที่ยวมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น เช่น การปรับกระบวนการของการขอ COE  การนำเทคโนโลยีต่างๆ มาเชื่อมโยงกันให้เป็น Single Platform และที่สำคัญที่สุดคือ การวางแผนแคมเปญแรงๆ เพื่อดึงดูดและกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยในขณะนี้ภาคเอกชนต่างๆ มีความพร้อมมากในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ทั้งในด้านการเตรียมผู้ประกอบการให้ได้มาตรฐาน SHA เพื่อความมั่นใจด้านสุขอนามัย การเตรียมบุคลากรที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว การเตรียมแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมการท่องเที่ยวแบบวิถีใหม่ ดังนั้นหากภาครัฐมีการปลดล๊อคเงื่อนไขต่างๆ และมีการออกแคมเปญดีๆ ภาคการท่องเที่ยวจะกลับมาเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างแน่นอน

          นางสมทรง สัจจาภิมุข รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า อินเดียเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจและมีแนวโน้มเติบโตสูงมาก เนื่องจากอินเดียมีประชากรมากกว่า 1,300 ล้านคน และมีอัตราการเติบโตของตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศ (Outbound) เฉลี่ยที่ปีละ 10-11% ซึ่งในปี 2562 อินเดียเดินทางเข้ามาประเทศไทยราว 1.96 ล้านคน ซึ่งขยายตัวขึ้นราว 26% และอินเดียเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง มีอัตราการใช้จ่ายต่อหัวสูง และเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ เช่น ตลาดเวดดิ้งและฮันนีมูน, เฮลท์แอนด์เวลเนส เป็นต้น และแม้ปัจจุบันที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 อินเดียก็ยังเป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่ยังเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งในปัจจุบันประเทศอินเดียกำลังมีอัตราการติดเชื้อลดลงอย่างมาก และน่าจะมีความพร้อมในการเดินทางในไตรมาส 4 นี้ ซึ่งสอดคล้องกับแผนการเปิดประเทศของไทย หากไทยเรามีการวางกลยุทธให้เหมาะสม กลุ่มตลาดอินเดียจะเป็นตลาดที่น่าสนใจและจะทำเงินให้กับประเทศไทยไม่แพ้นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนได้

            นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.)  ได้กล่าวว่า ในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ภาคเอกชนจำเป็นจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากภาครัฐเป็นพิเศษ เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ขาดรายได้ไปกว่า 18 เดือน และต้องปิดกิจการชั่วคราว หรือลดขนาดกิจการลงไปมากกว่า 50% จึงขาดความพร้อมในการกลับมาเปิดกิจการเพื่อรับนักท่องเที่ยวใหม่ โดยจากการสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการท่องเที่ยวมีความต้องการในการรับการสนับสนุนจากภาครัฐใน 4 ด้านหลัก คือ  (1 ) 42% ต้องการโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับการกลับมาเปิดกิจการ (Restart Budget )

(2) 30% ต้องการโครงการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาผู้ประกอบการท่องเที่ยวในวงเงิน 10,000 ล้านบาท 

(3) 20% ต้องการโครงการ Copay หรือการให้ภาครัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนพนักงาน 50% เป็นระยะเวลา 3 เดือนนับตั้งแต่วันเริ่มกลับมาเปิดกิจการ  

และ (4) 8% ต้องการการลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าภาษี และค่าจดทะเบียนต่างๆ เป็นระยะเวลา 3 เดือนนับจากวันเริ่มกลับมาเปิดกิจการ

   โดยในแต่ละธุรกิจนั้นก็ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐที่ต่างกันไป โดยธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่กว่า 60% ต้องการ Copay ธุรกิจภาคขนส่งกว่า 62% ต้องการกองทุนฟื้นฟูกิจการเนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ ภาคธุรกิจอาหาร 65% ต้องการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อที่จะนำเงินมาลงทุนในการ Restart ธุรกิจและเป็นเงินสำรองหมุนเวียนในกิจการ

          ด้านนายสุทธิพงศ์ เผื่อนพิภพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาด Domestic​ หรือการท่องเที่ยวภายในประเทศ ถือว่าเป็นกำลังสำคัญในการรักษาความสามารถในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการท่องเที่ยว และต้องการมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างเร่งด่วน​ เนื่องจากการเปิดประเทศในไตรมาส 4 นี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไม่มากนัก หากไม่มีนโยบายส่งเสริมให้คนไทยเที่ยวภายในประเทศ จำนวนผู้ประกอบการที่ต้องปิดกิจการและเลิกจ้างจะเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก ดังนั้นแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยวต่างๆ เช่น ทัวร์เที่ยวไทยและเราเที่ยวด้วยกัน ถือว่าออกมาได้ถูกจังหวะ และจะเป็นกุญแจที่สำคัญที่จะทำให้ในไตรมาสที่ 4 ภาคการท่องเที่ยวจะกลับมาสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ดี                      นอกจากนี้ สทท. ได้ทำงานร่วมกับ ททท. อย่างใกล้ชิด ในการวางแผนระยะยาว เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศให้ต่อเนื่องจนถึงไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2565 เช่น การออกแคมเปญเที่ยวคนละครึ่ง เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

งาน “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย Chiang Rai Flower and Art Festival 2024”

งาน “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย Chiang Rai Flower and  Art Festival 2024”  16 ธ.ค. 2567 ถึงวันที่ 5 ม.ค. 2568  ณ สวนไม้งามริมน้ำกก         ...