"ม่วนชื่นรื่นรมย์ ชุมชนนอร์ทอีส" เที่ยว
กาญจนบุรี สักการะหลวงพ่อชินประทาน
พร สนุกสนานกับการล่องแพ สัมผัสทิวทัศน์เกาหลีที่ วอน แด ซอง
บริษัท
นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัทผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์จากยางพารา
ยางสังเคราะห์ อาทิเช่น ยางแผ่นรมควัน ยาง compound และยางรูปแบบอื่นที่คล้ายกัน
รวมทั้งบริษัทในเครือประกอบธุรกิจทางด้านการเกษตร เพื่อจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ
จัดกิจกรรม
"ม่วนชื่นรื่นรมย์
ชุมชนนอร์ทอีส" สังสรรค์พนักงานประจำปี
เพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนใจและเป็นขัวญกำลังใจให้แก่พนักงาน พาเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีและสระบุรี
โดยมีคุณภณิดา จึงธนสมบูรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานซัพพลายเชน คุณปาร์ย
อรรถพิสาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจ คุณสมหมาย สุขสไว ผู้ช่วยรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานผลิต
คุณภิรดา โทนะหงษา ผู้จัดการฝ่ายระบบบริหารจัดการคุณภาพ และคุณจีราภร พินิจรัมย์ ผู้จัดการฝ่ายการเงิน ร่วมเดินทางด้วย
มี หจก. วี.เอ. แอร์ ทิกเกตแอนด์ทราเวล สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทยเป็นผู้ดำเนินการพาเที่ยว และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกาญจนบุรี ร่วมสนับสนุน
กิจกรรม
"ม่วนชื่นรื่นรมย์ ชุมชนนอร์ทอีส" คณะนักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่ก่อนออกเดินทางได้ทำการ
ตรวจ ATK ทุกคน และขณะเดินทางก็ปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
คณะของเราออกจากบริษัท
นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) จ.บุรีรัมย์ เมื่อตอนค่ำ ถึง จ.นครปฐมตอนเช้า แวะรับประทานอาหารเช้า
ณ เดอะศาลายา อ.พุทธมณฑล สถานที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจด้วยสุนทรียภาพการพักผ่อนผสานความรื่นรมย์ที่ไม่เหมือนใคร
หลังจากทานอาหารเช้าเติมพลังแล้วก็ออกเดินทางสู่
วัดถ้าเสื้อ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี
เมื่อไปถึงพวกเราก็ต้องตกใจถึงความสูงของบันไดที่มีถึง 159
ขั้นจึงจะถึงด้านบน ทำให้พวกเราเหงื่อตกเลยทีเดียว แต่พอดีหันไปเห็นว่ามีรถไฟฟ้า
เลยทำให้พวกเราลงความเห็นกันว่า ไปรถไฟฟ้าดีกว่า (ค่าบำรุงไฟฟ้าท่านละ 10 บาท รวมขาไปและกลับแล้ว)
เมื่อนั่งรถไฟฟ้าไปบนยอดเขาด้านบนแล้ว พวกเราก็สัมผัสได้กับความใหญ่โตของ "หลวงพ่อชินประทานพร"
เป็นพระพุทธรูปปางประทานพรที่มีพุทธลักษณะที่สวยงามมากตั้งเด่นเป็นสง่า ตัวองค์พระประดับด้วยโมเสคสีทองทั้งองค์ ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี
เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องสักการะขอพรเป็นสิริมงคล
จากนั้นพวกเราก็เดินไปยังพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท เป็นพระเจดีย์สีอิฐทั้งองค์ เมื่อเดินวนขึ้นไปแต่ละชั้นจะเห็นว่า
แต่ละชั้นประดิษฐานพระพุทธรูปต่างๆ มากมาย
เมื่อเดินจนถึงชั้นบนสุดก็เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย
พวกเรากราบนมัสการพระธาตุแล้ว ก็เดินก็ลงไปข้างล่างเพื่อเข้าถ้ำเสือ
ซึ่งเป็นถ้ำขนาดเล็กอยู่บริเวณเชิงเขาด้านล่าง
ภายในประดิษฐานพระประจำวันเกิดและเจ้าแม่กวนอิม
เมื่อขอพรเป็นสิริมงคลแล้ว
ก็เดินทางไปต้นจามจุรียักษ์ อ.ด่านมะขามเตี้ย อีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของกาญจนบุรี เป็นต้นไม้อายุเก่าแก่มากกว่า 100 ปี
ขนาด 10 คนโอบ แผ่กิ่งก้านสาขาใหญ่โตมโหฬารเป็นที่น่าอัศจรรย์
รัศมีทรงพุ่มเฉลี่ย 25.87
เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางร่มเงาประมาณ 51.75
เมตร ความสูงจากพื้นดินถึงยอด 20 เมตร
มี ซึ่งปัจจุบันจะหาชมต้นไม้ขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ยากมาก ภายในจัดทำสะพานไม้เป็นวงกลมรอบต้นไม้
ให้นักท่องเที่ยวเดิน เพื่อป้องกันไม่ให้ไปเหยียบรากต้นไม้หรือขูดขอโชคตามความเชื่อ
แล้วก็ได้เวลาอาหารเที่ยง มื้อนี้เราทานกันที่ ร้านอาหารครัวอนงค์
ชมความใหญ่โตของต้นจามจุรี ก็เดินทางไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว หรือ ทางรถไฟสายมรณะ ทางรถไฟสายนี้สร้างขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้แรงงานเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรและกรรมกรชาวเอเชียที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มาสร้าง เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า ปัจจุบันเส้นทางนี้ไปสุดปลายทางที่บ้านท่าเสาหรือสถานีน้ำตก ระยะทางจากสถานีกาญจนบุรีถึงสถานีน้ำตกเป็นระยะทางประมาณ 77 กิโลเมตร การรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดเดินรถบนเส้นทางนี้ทุกวันและจัดรถไฟขบวนพิเศษสายกรุงเทพฯ-น้ำตก ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ จุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมากคือช่วงสะพานข้ามแม่น้ำแคว และช่วงโค้งมรณะหรือถ้ำกระแซ ซึ่งเป็นสะพานโค้งเลียบแม่น้ำแควน้อยยาวประมาณ 400 เมตร หลังจากถ่านรูปเซลฟี่เก็บไว้เป็นที่ระลึกแล้ว ก็เดินทางไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารครัวผักหวาน จากนั้นสมควรแก่เวลาก็เดินทางไปพักผ่อนตามอัธยาศัยที่โรงแรม ไมค้า รีสอร์ท กาญจนบุรี
เช้าวันใหม่
พวกเราก็เดินทางไปเกาะเซจู ประเทศเกาหลีกัน แต่ไม่ได้ไปต่างประเทศนะ แต่เป็นเกาหลี@เมืองกาญจนบุรี
นั่นคือสวนวอน แด ซอง ในซอยเก้าแสนรีสอร์ท ถ.กาญจนบุรี-ไทรโยค
อยู่เลยตัวเมืองกาญจนบุรีมาประมาณ 20 กว่า กม. เป็นสถานที่พักผ่อนท่ามกลางหุบเขาล้อมรอบ
ที่สร้างตกแต่งผสมผสานแนวเกาหลีโบราณกับสวนดอกไม้หลากสีสันที่แข่งขันกันชูช่ออวดความสวยงาม
(ดอกไม้สีสวยของที่นี่จะมีให้ชมตลอดทั้งปี
โดยจะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนชนิดและสีสันไปเรื่อยๆ ไม่ซ้ำกัน) ในสวนก็จะมีการจัดมุมให้ถ่ายรูปหลายจุด
ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้สีขาวกลางทุ่ง บัลลังก์ดอกไม้ บันไดสู่สวรรค์
ตัดกับสีเขียวชอุ่มของภูเขาที่เป็นฉากหลัง มีศาลากว้างที่คล้ายบ้านเกาหลีแบบโบราณที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว
ยังมี “ทอลฮารูบัง” หรือหินปู่ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเกาะเชจู เป็นรูปปั้นที่ทำมาจากหินลาวาสลัก
ชาวเกาะเชจูเชื่อว่าทำหน้าที่พิทักษ์คุ้มครองชาวบ้านและสถานที่ต่างๆ
และมักจะมีผู้มาขอพรในเรื่องต่างๆ ได้แก่ ถ้าต้องการให้ร่ำรวยให้ลูกที่ท้อง
ถ้าอยากมีคู่ให้ลูบที่หัวหรือหมวก ถ้าอยากได้ลูกสาวให้ลูบหู
และถ้าอยากได้ลูกชายให้ลูบจมูก ที่นี่ยังมีชุดฮันบกให้เช่าถ่ายรูปเก๋ๆ มาที่แล้วเหมือนได้ไปเกาหลีจริงๆ
มาแล้วก็ต้องถ่ายรูปไปอวดกันสักหน่อยว่าไปเที่ยวเกาะเซจู เกาหลี@เมืองกาญจนบุรี
อ๋อลืมบอกไปค่าบริการเข้าชมสวนคนละ 70 บาท แต่ใช้ได้ตลอดทั้งปี
ถ่ายรูปกันจนจุใจก็เดินทางไปที่ถ้ำกระแซ
ถ้ำนี้เคยเป็น ที่พักของเชลยศึก เมื่อครั้งสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะจากไทยไปพม่า
และภายในถ้ำยังมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานอยู่ด้วย หลังจากสักการะขอพรพระพุทธรูในถ้ำเรียบร้อย
ก็เดินไปถ่ายรูปจุดที่สวยที่สุดของทางรถไฟสายมรณะ เป็นรางรถไฟสะพานโค้งเลียบแม่น้ำแควน้อยยาวประมาณ
400 เมตร ติดเลียบหน้าที่มีความสูง มองลงไปด้านล่างทำหวาดเสียวขาสั่นนิดๆ แต่ก็ต้องใจกล้าเพราะอยากได้ภาพสวยๆ
กลับมาเป็นที่ระลึก แล้วก็ได้เวลาอาหารเที่ยงอีกแล้ว มื้อนี้แวะทานกันที่ชานชาลา
แล้วก็ได้เวลาที่ทุกคนรอคอยนั่นคือการล่องแพเปียก
กิจกรรมสุดคลาสสิค กับการล่องแพ อิสระเสรีกับการเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน
ท่ามกลางธรรมชาติสองฟากฝั่งของแม่น้ำแควที่สวยงามและมีความสมบูรณ์ ปิดท้ายวันด้วยงาน
ปาร์ตี้ "ม่วนชื่นรื่นรมย์ ชุมชนนอร์ทอีส" โดยมีคุณภณิดา
จึงธนสมบูรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานซัพพลายเชน เป็นประธานเปิดงาน ช่างเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ที่สนุกสนาน
อบอวลด้วยมิตรภาพ แถมมีรางวัลจากบริษัทฯ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ติดมือกลับไปอีกด้วย
วันรุ่งขึ้นพวกเราก็เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม
ไมด้า รีสอร์ท กาญจนบุรี เดินทางกลับบุรีรัมย์ ระหว่างทางแวะร้านแก้ว อำเภอท่าม่วง
เพื่อซื้อของฝากที่ขึ้น ได้แก่ ขนมชั้น ทองม้วนสด มะขามกวน ทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารนพรัตน์
เที่ยวตลาดหัวปลี
อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี เป็นตลาดสวนสวยท่ามกลางธรรมชาติที่ร่มรื่น
อากาศโปร่งโล่งสบาย พร้อมร้านค้าจากชุมชนจำนวน 100 ร้านค้า ที่ผ่านการฝึกอบรมใส่ใจสุขภาพและสุขอนามัย
มีอาหารขนมอร่อยให้ลิ้มลอง ปรุงสุกสดใหม่ พืชผักสมุนไพรปลิดภัย ไอศกรีม
เครื่องจักสาน งานหัตถกรรม ของใช้ ของที่ระลึก เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย
และสินค้าแปรรูป ผลิตภัณฑ์เกษตรชุมชน เพื่อให้นักท่องเที่ยวผู้มาเยือนมีความสุข
มีสุขภาพที่ดี
ปิดท้ายทริปนี้ที่วัดแก่งคอย อ.แก่งคอย จ.สระบุรี สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2330 แต่เดิมมีชื่อว่า วัดแร้งคอย เพราะมีต้นไม้ใหญ่ไม่กี่ต้นริมแม่น้ำป่าสักด้านหลังวัดที่มีอายุมากเป็นร้อยปี ที่เป็นที่อยู่ของอีแร้ง ชาวบ้านจึงเรียกว่าวัดแร้งคอย ต่อมาทางราชการได้ทำการตั้งชื่อวัดเป็นทางการว่า “วัดจมูสโมสร” แล้วเปลี่ยนมาเป็น "วัดแก่งคอย" พวกเรามาที่นี่เพื่อมาชมถ้ำนาคา วังพญานาค หนึ่งใน Unseen ที่สวยงามตระการตาที่สายมูไม่ควรพลาด ภายในตกแต่งเป็นถ้ำใต้บาดาลจำลอง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพญานาค มีประติมากรรมกรรมพญานาคและพ่อปู่ศรีสุทโธ ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวไทยที่มีความเชื่อในเรื่องของพญานาค ประดับประดาด้วยหลอดไฟหลากสี ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในถ้ำใต้น้ำที่ดูลึกลับและศักดิ์สิทธิ์
ภายในวัดยังมีพระธาตุเจดีย์ศรีป่าสัก เป็นเจดีย์องค์ใหญ่สีขาวตัดขอบทอง ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่ให้เราได้กราบสักการะ ภายในองค์เจดีย์มีจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่อง พุทธชาดกและตำนานเทวดาต่างๆ สวยงามมากทีเดียว รอบๆ ระเบียงคดขององค์พระธาตุเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายปางประจำวันเกิดเรียงรายกันโดยจะมีโอ่งใส่น้ำพร้อมแก้วใบเล็กวางไว้ข้างๆ พระพุทธรูปประจำวันเกิดทุกองค์เพื่อให้ประชาชนรดน้ำขอพร และอนุสาวรีย์ผู้ประสบภัยทางอากาศ สงครามโลกครั้งที่สอง ที่ด้านบนติดตั้งลูกระเบิดปรมาณูที่ถูกทิ้งลงมาในคราวสงคราม เมื่อเหตุการณ์สงบลงชาวบ้านจึงเก็บมารวบรวมไว้กับข้าวของอื่น ๆ จนได้นำมาสร้างเป็นอนุสาวรีย์ในที่สุด ซ้ายมือของอนุสาวรีย์มีแท่นหินอ่อนสลักตัวอักษรจีนโบราณ เป็นแท่นที่ระลึกถึงวิญญาณทหารญี่ปุ่น ชื่อว่านายซากุโร กายิโมโตะและคณะอีก 17 นาย ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์การทิ้งระเบิดดังกล่าว สนุกสนานกับทริปนี้เป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางกลับบุรีรัมย์โดยสวัสดิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น