ซากเหล็ก หรือ ขุมทรัพย์การรถไฟแห่งประเทศไทย ใครกันแน่ที่ได้ผลประโยชน์
เมื่อพูดถึงผลประโยชน์ ในการเก็บ “ซากเหล็ก” ที่ตัดออกจากบัญชีมาขายของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้กับผู้สนใจแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผย โดยทาง “ผู้มีอำนาจ” จะชงกันอย่างไร? ก็ได้ดูอย่าง การหยุดคิดชั่วครู่ของท่าน นิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่เซ็นสั่งให้ผู้เกี่ยวข้อง... รองชึพต้องคิดให้มากกับการสร้างรายรับสูงสุด ให้กับ การรถไฟฯ ตามคำสังของผู้ว่าการรถไฟฯ ที่หยุดสะดุดชั่วคราว แล้วกลับมาเซ็นคำสั่งใหม่นั้น เพราะยังมั่นใจรองชีพอยู่น่ะจ๊ะ..
ดังนั้น “รองชีพ” อย่าพึ่งรีบตกใจเซ็นอนุมัติในจดหมายเร็วเกินเหตุ?...คิดสักนิด วิเคราะห์สักหน่อย อย่างน้อย“ผลประโยชน์”ของประเทศก็อยู่ในมือ “รองชีพ” อย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้ แต่เมื่อได้ตัดสินใจดี แล้ว“ทอมมี่ พสุวัชร์”ก็อยากจะขอเข้าไปแตะกับข้อเสนอในเรื่องของราคาซากเหล็กรางรถไฟ (Scrap) ที่ดูจะไร้ค่าของการรถไฟฯ แต่มันคือ“แหล่งขุมทรัพย์”ของบรรดาคนนอก ที่จะจัดการในเรื่องของผลประโยชน์อย่างจริงจัง..ถ้า“กินแบ่งลงตัว”ใช่ ไหม? และเมื่อ “ทอมมี่ พสุวัชร์” ได้ดูเอกสาร ในคำสั่งที่ให้รางเหล็ก (เก่า)ไปเข้ามือของ “มูลนิธิกัลยาณวิสุทธิ์” (ที่มีประ- ธานเป็นเจ้าของโรงแรมดังย่านรามกำแหง ) ในราคากิโลกรมละ 9.47 บาทรวมเป็นเงินถึง 300 กว่าล้านบาท..ว้าวๆๆ ไม่ต้องแข่งขันแถมราคารวมค่าภาษี (Vat7%) แล้ว อะไรจะดูเห็นเป็นใจขนาดนั้น อ้างตามกฎเกณฑ์ที่ “นายสุชีพ”แจ้งในเอกสารคำสั่งที่บอกว่า ให้การขายใช้วิธีเฉพาะเจาะจงตามระเบียบ ของกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง อย่างนี้ก็ไม่ต้องแปรไปอย่างอื่นครัับ ถ้านายนิรุฒ มณีพันธิ์ ผู้ว่าการรถไฟฯ หรือนายสุชีพ สุขสว่าง ประธานคณะกรรมการกำหนดราคากลางขายฯ ไม่พอใจก็อย่าหวังว่าจะได้เค็กก้อนนี้ใช่ไหม ?
ดังนั้น มูลนิธิฯต่างๆ ที่เข้าไปเสนอตัวถึงคุณสมบัติตนเองที่จะขอเข้าไปใช้สิทธิ์บ้าง ก็คงต้อง “กินแห้ว”ไปก่อน เพราะยังไม่ใช่พรรคพวกหรือพวกพ้องที่ไม่คุ้นหน้ากัน ความฝันก็สลายไป.“ทอมมี่ พสุวัชร์”ก็ไม่เข้าใจกึ๋นของท่านทั้ง 2 ที่เอากฎเกณฑ์เก่าๆ มาใช้ในยุคพัฒนากึ๋นกัน
เอาล่ะ..ไหนๆ “นายนิรุฒ” ก็ได้ตกลงปลงใจให้เผือกร้อนกับมูลนิธิกัลยาณวิสุทธิ์ไปแล้ว “ทอมมี่ พสุวัชร์” ก็ยังสงสัยในการหาเงินให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่มีอำนาจตรงในการดูแล จะดูว่าการให้เหล็กรางรถไฟในครั้งนี้ “นายนิรุฒ” จะทำเงินเข้ากระเป๋าเท่าไร? (อุ้ยๆ...ไม่ใช่เข้าการรถไฟฯ เท่าไร?) น่ะครับท่าน..
และสิ่งหนึ่งที่น่าคิดในการคำนวณการขายที่ดูแล้วน่า จะเสียเปรียบให้กับผู้ที่จะมารับเค็กซากขยะการรถไฟฯ คือ การยอมรับราคากลางของเหล็กจาก บริษัท วงษ์พาณิชย์ จำกัด ใช่ไหม? ณ เวลานั่นๆ ดังนั้นเหล็กรางรถไฟที่ขายกก.ละ 9.47บาท ทั้งหมด 2 รายการมีค่ากว่า 300 ล้านบาท มูลนิธิฯ จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อ? หรือจะขายโรงแรมแล้วเอา มาซื้อเศษเหล็ก..(จุ๊ๆๆอย่าบอกใคร?) ก็นั่นแหละ..!! การขายเศษขยะการรถไฟฯ ย่อมมองได้ว่า “อาจจะมีผลประโยชน์แอบแฝง” เลยทำให้ ปปช. มาแอบดมกลิ่นทะแม่งๆ และสิ่งที่สำคัญดันมีถึง 4 มูลนิธิฯที่มีเจตจำนงอยากได้ขยะ เศษเหล็กเค็กก่้อนนี้ด้วยเพราะหลักการก็รับได้เช่นเดียวกันคุณสมบัติก็เหมือนกัน..ทำไม? ไม่ได้ (ฝันไปเถอะ ฮะฮ่า..!! )
เหม่..!จะไม่ให้คิดเรื่องของการขายซากเหล็กนี้ได้อย่างไร ลองคิดดู ราคาซากเหล็กที่อนุมัตินั้น แค่ 9.47 บาท และ ณ ตอนนี้ราคามันขึ้นถึง 14.50 บาท มีผลต่างที่มหาศาล....ว้าวๆ (เหล็กที่ “รองชีพ” อนุมัติขายทั้งหมด 31,843,820,84 กก. เป็นเงิน 301,560,983.35 บาท (รวมภาษี7%) ลองบวกลบคูนหารดู..แล้วจะรู้.. ผลต่างนั้นใครได้ของหวานไป กินยิ้มๆ เลยน่ะจ๊ะ..ฮะฮะฮ่า?? แล้วการรถไฟฯจะเหลืออะไร?
สะกิดหยุดให้คิด แต่ถ้า “ รองชีพ” ยังติดใจ โยนเผือกร้อนให้ ปปช.คิด...รับรอง..ฮะฮะฮ่า...จบครับ..!!!
ทอมมี่ พสุวัชร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น